"TURN EXPERIENCE TO VICTORY"

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ในฉบับนี้เราจะมานำเสนอเสนอในมุมของแผนยุทธศาสตร์ของรัฐรวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของเอกชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิตอลหรือ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบโดยแนวคิดหลักของนโยบายคือต้องนำดิจิตอลเข้าไปเสริมศักยภาพการทำงานของทุกกระทรวงที่มีดิจิตอลเข้าไปเกี่ยวข้องตลอดจนต้องนำไปเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาลนั้นที่มีอยู่หลักๆนั้น มีอยู่หลายประการ

ประการแรกได้แก่การเร่งยกร่างกฎหมายเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิตอล โดยแก้ไขกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ หรือหากเรื่องใดไม่มีกำหนดไว้ก็เตรียมจะยกร่าง เช่น การสร้างเครือข่ายข้อมูลสุขภาพของประชาชนระหว่างโรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านดิจิตอลจำนวนมากยังที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายด้านลายมือชื่อดิจิตอล กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย กฎหมายคอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเรายังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่จะต้องทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ประการที่สองคือการให้เอกชนลดค่าบริการอินเตอร์เน็ตลงแต่ในขณะเดียวกันต้องเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ตให้สูงขึ้น ซึ่งนโยบายนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากเอกชนซึ่งเป็นผู้ประกอบการเพื่อที่จะสามารถให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงบริการได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในราคาที่อยู่ภายใต้การควบคุม

ประการที่สามคือการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ กระทรวงไอซีทีที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนี้ยังมีโครงสร้างการแบ่งอำนาจที่ไม่ชัดเจน และรูปแบบการบริหารงานย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างและกำหนดหน้าที่การกำกับดูแลในแต่ละส่วนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแนวคิดในการเพิ่มกรมในกระทรวงเพื่อให้การทำงานของกระทรวงไอซีทีสอดรับในมิติการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยกรมที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วยกรมแรกคือกรมที่ดูแลเรื่องการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งต้องนำดิจิตอลช่วยอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงไอซีทีต้องดำเนินการ กรมที่สองคือกรมพัฒนาและส่งเสริมดิจิตอลเกี่ยวกับสังคม ทำให้ดิจิตอลเข้าไปมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาความยากจน และกรมที่เกี่ยวกับไซเบอร์คอนเทนต์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการใช้ไอทีอย่างชาญฉลาด ตลอดจนการควบคุมดูแลเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้จะมีการดึงบางหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาทิ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้ามาอยู่กับไอซีที รวมไปถึงบางหน่วยงานที่จะเป็นปัจจัยในการพัฒนาสู่นโยบายนี้ได้

ประการสุดท้ายคือการสร้างโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติเพื่อที่จะต้องมีบริการอินเตอร์เน็ตให้เข้าถึงทุกพื้นที่เพราะประเทศเรากำลังขนส่งข้อมูลจำนวนมากโดยสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จึงจำเป็นต้องมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ดีเชื่อมต่อกันทุกพื้นที่ที่จำเป็นต้องเข้าถึงทุกตำบลทุกหมู่บ้าน โดยรัฐมีแผนที่จะนำไฟเบอร์ออพติกมาใช้ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการขยายการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบ 4G รวมทั้งพัฒนาระบบ 3G ให้มีความเสถียรมากขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะถูกนำมาใช้และการเชื่อมต่ออย่างทั่วถึง

นอกจากการตอบรับนโยบายและวางแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีแล้ว กระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้เช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแลด้านการค้าที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นการค้าทางออนไลน์หรือบนโลกของอินเตอร์เน็ตเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอลนี้เป็นกุญแจสำคัญของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน จึงได้มีการวางรากฐานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอลให้เป็นไปได้อย่างจริงจัง 3 ประการ ได้แก่ การพัฒนาระบบดิจิตอลเพื่อรองรับการให้บริการอย่างครบวงจรเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับบริการและข้อมูล ข่าวสารจากกระทรวงฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลา ค่าใช้จ่ายและลดการใช้กระดาษ การส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ดิจิตอล ทั้งผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ อุปกรณ์สื่อสาร และโทรคมนาคมดิจิตอล ตลอดจนการใช้ดิจิตอลรองรับภาคการผลิตกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยใช้สื่อดิจิตอล ประการสุดท้ายได้แก่การส่งเสริมและผลักดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาผู้ประกอบการ ตลาดและศักยภาพของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร โดยได้มีการเปิดตัวโมบาย แอพพลิเคชั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่นักลงทุนและผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว อันจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยให้มีความพร้อมต่อการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อ-ผู้นำเข้าจากต่างประเทศสำหรับการติดต่อกับนักธุรกิจไทยด้วย

อีกองค์กรหนึ่งที่ตอบรับนโยบายดิจิตอลดังกล่าวคือกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยวางแผนนโยบายของกรมเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของธุรกิจเอสเอ็มอีในยุคดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการธุรกิจไอทีให้สามารถเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจได้ การนำไอทีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์ การส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้าโอทอปที่มีศักยภาพสามารถทำการตลาดด้วยสื่อดิจิตอลและสื่อออนไลน์ การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ดิจิตอล (Digital Knowledge Society) เพื่อให้ดำเนินธุรกิจกิจโดยใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิตอลผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน การพัฒนาที่ปรึกษาธุรกิจโลกไซเบอร์ (Cyber Service Provider) เป็นต้น

การเริ่มต้นในการสร้างและขับเคลื่อนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลดังกล่าวของประเทศไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแม้จะช้าไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญในการวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิตอลให้กับประเทศนั้น นอกจากจะอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิตอล ไอที และ ระบบสารสนเทศมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจแล้วควรจะรวมถึงการเปิดกว้างต่อความเปลี่ยนแปลง การให้โอกาสกับแนวคิดใหม่ๆ และการสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ที่เป็นของประเทศเราเองด้วย

By : http://telecomjournalthailand.com/

 

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.57 ที่ผ่านมา นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้เข้าพบปะกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถึงแนวทางทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาต่างๆ เนื่องจากไอซีทีมองว่าต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของกระทรวงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการทำงานในหลายภาคส่วนมากขึ้น โดยจะมีการตั้งคณะร่วมกันระหว่างกระทรวงกับ กสทช. เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อาทิ การแก้กฎหมายที่ยังทับซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน อีกทั้งยังได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลหรือ “Digital Economy” ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในลักษณะการทำงานอย่างเดียวกันกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) ในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

หลายคนอาจสงสัยว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอลหรือ Digital Economy นั้นคืออะไร เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital economy) หมายถึง การใช้ระบบเว็บเบสบนอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยคำนิยามของเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เป็นคำที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาใช้ โดยเน้นให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจยุคใหม่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีอย่างมากมาย ตั้งแต่ระบบการให้บริการออนไลน์ การซื้อขายสินค้าและบริการ การศึกษาแบบทางไกล การโอนย้ายสื่อแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ดิจิตอล การให้บริการห้องสมุดดิจิตอล ตลอดจนระบบการพิมพ์หรือการจัดทำ เอกสาร ล้วนแล้วแต่เป็นดิจิตอลหมด เรามีกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ทีวีดิจิตอล ของเล่นดิจิตอล ระบบทุกอย่างที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์จะใช้เทคโนโลยีดิจิตอลโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบปนอยู่ด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเชื่อมคนทุกคนในโลกให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน สามารถติดต่อสื่อสาร พูดคุยกันผ่านทางเครือข่ายนี้ เป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีเป็นสำคัญนั่นเอง ในส่วนของประเทศไทยนั้นจากการสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พบว่าปัจจุบันคนใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตเกือบ 1 ใน 3 ของวัน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 7 ชั่วโมง กิจกรรมการใช้งานหลักคือการติดต่อสื่อสารและความบันเทิงรวมถึงการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าสัดส่วนการใช้งานอาจไม่ได้สูงมาก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคว่ามีความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยตลาดอีคอมเมิร์ซปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอันเนื่องจากการพัฒนาของเครือข่ายโทรคมนาคมที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น และจะทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่กลายเป็นช่องทางหลักในการเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการในปัจจุบัน

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลนั้นมีแนวคิดมาจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกดิจิตอลที่ไร้พรมแดน ถือเป็นนโยบายใหม่ของประเทศไทยที่ออกมาเพื่อรองรับความก้าวหน้าทันสมัยของเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจะต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ในประเทศไทยที่จะต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือและควบรวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ดังนั้นเร็วนี้ๆ ทางกระทรวงไอซีทีจึงมีแผนปรับบทบาทการทำงานของกระทรวงครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนงานต่างๆตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อกระทรวงใหม่ด้วยเช่นกันเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ของกระทรวง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเปลี่ยนชื่อกระทรวงจากกระทรวงไอซีทีไปเป็นกระทรวงดิจิตอล ทั้งนี้กระทรวงไอซีทียังอยู่ระหว่างการทาบทามศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ซึ่งขณะนี้ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาอยู่ใต้สังกัดกระทรวงไอซีทีด้วย

ความร่วมมือกันของสองหน่วยงานนั้นเป็นเรื่องที่ได้วางแผนกันมานานแล้ว โดยสมัย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีที่จะแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคลื่นความถี่แห่งชาติ 3 ฉบับได้แก่ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551   เพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน

ระบบเศรษฐกิจดิจิตอลทำให้แนวโน้มของโลกเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปลี่ยนแนวคิดจากระบบรวมศูนย์มาเป็นแบบการกระจายให้บริการ เช่น การบริการของธนาคารผ่านเอทีเอ็ม การสร้างร้านค้ากระจายไปทุกหนทุกแห่ง โครงสร้างขององค์กรมีลักษณะติดต่อประสานรายได้สองทิศทาง ทั้งให้การจัดองค์กรมีขนาดกะทัดรัด และรูปแบบองค์กรจะแบนราบ หรือมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาน้อยลง แต่จะมีรูปแบบลักษณะเครือข่ายเพื่อการทำงานร่วมกัน การดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ จะตัดคนกลางหรือ กิจกรรมที่อยู่ตรงกลางออกไป ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ มีลักษณะจากปลายสู่ปลาย เช่น จากผู้ผลิตสู่ผู้ใช้โดยไม่ต้องมีคนกลาง ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องรีบปรับตัวและใช้ประโยชน์จากกลไกทางเทคโนโลยีให้ทัน ดังนั้นหากมีการผลักดันนโยบายเรื่องเศรษฐกิจดิจิตอลนี้ให้สำเร็จย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไกลให้ทันประเทศอื่นมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าประชาชนจะมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งเป็นการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

By http://telecomjournalthailand.com/