"TURN EXPERIENCE TO VICTORY"

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.57 ที่ผ่านมา นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้เข้าพบปะกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถึงแนวทางทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาต่างๆ เนื่องจากไอซีทีมองว่าต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของกระทรวงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการทำงานในหลายภาคส่วนมากขึ้น โดยจะมีการตั้งคณะร่วมกันระหว่างกระทรวงกับ กสทช. เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อาทิ การแก้กฎหมายที่ยังทับซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน อีกทั้งยังได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลหรือ “Digital Economy” ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในลักษณะการทำงานอย่างเดียวกันกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) ในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

หลายคนอาจสงสัยว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอลหรือ Digital Economy นั้นคืออะไร เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital economy) หมายถึง การใช้ระบบเว็บเบสบนอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยคำนิยามของเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เป็นคำที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาใช้ โดยเน้นให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจยุคใหม่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีอย่างมากมาย ตั้งแต่ระบบการให้บริการออนไลน์ การซื้อขายสินค้าและบริการ การศึกษาแบบทางไกล การโอนย้ายสื่อแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ดิจิตอล การให้บริการห้องสมุดดิจิตอล ตลอดจนระบบการพิมพ์หรือการจัดทำ เอกสาร ล้วนแล้วแต่เป็นดิจิตอลหมด เรามีกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ทีวีดิจิตอล ของเล่นดิจิตอล ระบบทุกอย่างที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์จะใช้เทคโนโลยีดิจิตอลโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบปนอยู่ด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเชื่อมคนทุกคนในโลกให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน สามารถติดต่อสื่อสาร พูดคุยกันผ่านทางเครือข่ายนี้ เป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีเป็นสำคัญนั่นเอง ในส่วนของประเทศไทยนั้นจากการสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พบว่าปัจจุบันคนใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตเกือบ 1 ใน 3 ของวัน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 7 ชั่วโมง กิจกรรมการใช้งานหลักคือการติดต่อสื่อสารและความบันเทิงรวมถึงการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าสัดส่วนการใช้งานอาจไม่ได้สูงมาก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคว่ามีความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยตลาดอีคอมเมิร์ซปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอันเนื่องจากการพัฒนาของเครือข่ายโทรคมนาคมที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น และจะทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่กลายเป็นช่องทางหลักในการเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการในปัจจุบัน

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลนั้นมีแนวคิดมาจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกดิจิตอลที่ไร้พรมแดน ถือเป็นนโยบายใหม่ของประเทศไทยที่ออกมาเพื่อรองรับความก้าวหน้าทันสมัยของเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจะต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ในประเทศไทยที่จะต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือและควบรวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ดังนั้นเร็วนี้ๆ ทางกระทรวงไอซีทีจึงมีแผนปรับบทบาทการทำงานของกระทรวงครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนงานต่างๆตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อกระทรวงใหม่ด้วยเช่นกันเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ของกระทรวง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเปลี่ยนชื่อกระทรวงจากกระทรวงไอซีทีไปเป็นกระทรวงดิจิตอล ทั้งนี้กระทรวงไอซีทียังอยู่ระหว่างการทาบทามศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ซึ่งขณะนี้ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาอยู่ใต้สังกัดกระทรวงไอซีทีด้วย

ความร่วมมือกันของสองหน่วยงานนั้นเป็นเรื่องที่ได้วางแผนกันมานานแล้ว โดยสมัย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีที่จะแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคลื่นความถี่แห่งชาติ 3 ฉบับได้แก่ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551   เพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน

ระบบเศรษฐกิจดิจิตอลทำให้แนวโน้มของโลกเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปลี่ยนแนวคิดจากระบบรวมศูนย์มาเป็นแบบการกระจายให้บริการ เช่น การบริการของธนาคารผ่านเอทีเอ็ม การสร้างร้านค้ากระจายไปทุกหนทุกแห่ง โครงสร้างขององค์กรมีลักษณะติดต่อประสานรายได้สองทิศทาง ทั้งให้การจัดองค์กรมีขนาดกะทัดรัด และรูปแบบองค์กรจะแบนราบ หรือมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาน้อยลง แต่จะมีรูปแบบลักษณะเครือข่ายเพื่อการทำงานร่วมกัน การดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ จะตัดคนกลางหรือ กิจกรรมที่อยู่ตรงกลางออกไป ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ มีลักษณะจากปลายสู่ปลาย เช่น จากผู้ผลิตสู่ผู้ใช้โดยไม่ต้องมีคนกลาง ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องรีบปรับตัวและใช้ประโยชน์จากกลไกทางเทคโนโลยีให้ทัน ดังนั้นหากมีการผลักดันนโยบายเรื่องเศรษฐกิจดิจิตอลนี้ให้สำเร็จย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไกลให้ทันประเทศอื่นมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าประชาชนจะมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งเป็นการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

By http://telecomjournalthailand.com/

700 MHz ควรใช้ในกิจการใด ?

700 MHz ควรใช้ในกิจการใด ?

 

ท่านผู้อ่านหลายท่านที่ติดตามข่าวสารในแวดวงโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์คงทราบเรื่องคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้อยู่บ้าง หากลองสังเกตจากในต่างประเทศจะพบว่าคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ถูกนำไปใช้ทั้งในกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม อาทิ ประเทศแคนาดา อังกฤษ อเมริกา ใช้คลื่นความถี่ย่าน 700 MHz สำหรับกิจการโทรทัศน์ในระบบทีวีดิจิตอล ในขณะที่ประเทศออสเตรเลีย บราซิล บรูไน อินโดนิเซีย สิงคโปร์และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใช้คลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ในกิจการโทรคมนาคมสำหรับทำ 4G หรือ LTE

สำหรับในประเทศไทยมี 2 แนวความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แนวความเห็นแรกคือคลื่นความถี่ 700 MHz ควรใช้สำหรับกิจการโทรคมนาคม แนวความคิดนี้อ้างอิงตามมาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ที่ได้กำหนดให้คลื่นความถี่ในย่าน 698 – 806 MHz ซึ่งรวมถึงย่าน 700 MHz ใช้สำหรับกิจการโทรคมนาคม

ประกอบกับการที่มีรายงานการศึกษาโดยบริษัท Boston Consulting Group ในหัวข้อ Socio-Economic Benefit of Assigning the Digital Dividend to Mobile in Thailand ที่ได้เปรียบเทียบการนำคลื่นความถี่ 700 MHz มาใช้ในกิจการโทรทัศน์กับกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทย การเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบในแง่ของเศรษฐศาสตร์ในปัจจัย 4 ประการ คือการเติบโตของ GDP การจ้างงานที่จะเกิดขึ้น ธุรกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นและค่าธรรมเนียมกับภาษีที่รัฐจะเก็บได้ โดยผลการเปรียบเทียบของ Boston Consulting Group เผยว่าหากนำคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz มาใช้ในกิจการโทรคมนาคมจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการเติบโตของ GDP มากกว่าการนำมาใช้ในกิจการโทรทัศน์เป็นจำนวน 14,800 ล้านเหรียญสหรัฐภายในช่วงเวลา 7 ปี คือจากพ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2563 ตำแหน่งงานใหม่จะเกิดขึ้นจำนวน 55,000 ตำแหน่ง รวมถึงธุรกิจใหม่จำนวน 30,000 หน่วย ส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมภาษีที่รัฐจะเก็บได้นั้น กิจการโทรคมนาคมก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ภาครัฐได้มากกว่าเป็นจำนวน 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากรายงานผลการศึกษาในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว ยังมีการรายงานว่าหากประเทศไทยนำคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz มาใช้ในกิจการโทรทัศน์จะก่อให้เกิดการรบกวนกันของคลื่นและปัญหาในการประสานงานคลื่นความถี่กับประเทศเพื่อนบ้านที่นำคลื่นความถี่ 700 MHz ไปใช้ในกิจการโทรคมนาคม อย่างเช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และพม่า ที่ได้ใช้คลื่นความถี่ 700 MHz ในการทำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในทางตรงกันข้ามหากกำหนดการใช้คลื่นความถี่อย่างสอดคล้องกันนอกจากจะขจัดปัญหาดังกล่าวไปได้แล้ว ยังส่งผลให้อุปกรณ์การสื่อสารไร้สายมีราคาถูกลง ช่วยให้ผู้ผลิตบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลาดที่กว้างขึ้น ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่มากขึ้น รวมไปถึงการที่นักท่องเที่ยวขาเข้าและขาออกของประเทศสามารถตรวจหาสัญญาณคลื่นความถี่เพื่อใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้นอีกด้วย

การกำหนดว่าจะใช้คลื่นความถี่ 700 MHz สำหรับกิจการใดนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยแต่เพียงเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากการที่สมาคม GSMA หรือ The GSM Association ซึ่งเป็นองค์กรการค้าระดับโลกองค์กรหนึ่ง มีสมาชิกประกอบด้วยผู้ให้บริการสื่อสารเคลื่อนที่ในระบบ GSM จำนวนมากกว่า 700 รายใน 218 ประเทศทั่วโลก โดยที่ในจำนวนดังกล่าวเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์สื่อสารระบบ GSM จำนวนมากกว่า 190 รายเป็นสมาชิกหลัก ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมาว่าขอให้ กสทช. ทบทวนการจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับแผนย่านความถี่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ Asia Pacific Telecommunity Band Plan ที่จะใช้คลื่นของย่านความถี่ 700 MHz สำหรับกิจการโทรคมนาคมในการทำโมบายบรอดแบนด์ อันเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งหากประเทศไทยจะนำเอาคลื่นความถี่ 700 MHz ไปใช้กับกิจการโทรทัศน์ก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านในแง่ของคลื่นสัญญาณที่จะรบกวนกัน

ส่วนแนวความเห็นที่สองที่จะนำคลื่นความถี่ 700 MHz มาใช้สำหรับกิจการโทรทัศน์นั้นอ้างอิงตามแผนความถี่ทีวีดิจิตอลที่กำหนดให้ช่วงความถี่ย่าน 510 – 790 MHz เป็นคลื่นความถี่สำหรับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยแผนความถี่ทีวีดิจิตอลนี้เป็นไปตามประกาศ กสทช. เรื่อง แผนความถี่วิทยุสําหรับกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ซึ่งกำหนดชัดเจนแล้วว่าคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz จะใช้ในกิจการโทรทัศน์ รวมถึงแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมก็ไม่ได้กำหนดให้คลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ไว้ใช้สำหรับกิจการโทรคมนาคมด้วยแต่อย่างใด ประกอบกับคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ถือว่าเป็นย่าน Low Band ที่มีข้อดีคือส่งสัญญาณได้ไกล ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้าง แต่คลื่นความถี่ย่านนี้มีปริมาณความถี่ให้จัดสรรได้น้อย อาจไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณการเติบโตของข้อมูล (Data) ในระยะยาวได้หากนำไปใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่

อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์ปัจจุบันแนวความคิดที่ว่าจะนำคลื่นความถี่ 700 MHz มาใช้ในกิจการโทรทัศน์นั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลมากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้จัดการใช้คลื่นความถี่ของประเทศไทยใหม่ จากเดิมที่กำหนดให้ช่วงคลื่นความถี่ 510 – 790 MHz ใช้ในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ แก้ไขเป็นช่วงความถี่ 470 – 698 MHz แทน โดยไม่รวมคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz ไปไว้ในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์อีกต่อไป

การเสนอให้แก้ไขแผนความถี่ทีวีดิจิตอลจากที่กำหนดช่วงความถี่ 510 – 790 MHz ให้ขยับเป็น 470 – 698 MHz นั้นก็อาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากในปัจจุบันคลื่นความถี่ 470 MHz นั้นถูกใช้ในกิจการโทรคมนาคมและมีหน่วยงานที่ใช้คลื่นความถี่ย่านนี้อยู่ประมาณ 10 แห่ง เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กับทั้งยังไม่ตรงกับที่สมาคม GSMA เสนอว่าประเทศไทยควรใช้ย่านความถี่ 510 – 698 MHz สำหรับการประมูลช่องทีวีดิจิตอล และไม่ตรงกับที่ ITU กำหนดช่วงคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม คือ 698 – 806 MHz อีกด้วย ขณะนี้จึงควรติดตามดูกันต่อไปในการประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม 2015 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 – 5 กรกฎาคมนี้ ประเทศไทยจะมีการประกาศการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างเป็นทางการออกมาหรือไม่

ศูนย์กลางโทรคมนาคม AEC

ศูนย์กลางโทรคมนาคม AEC

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

กิจการโทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีส่วนสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ความทันสมัยและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมช่วยทำให้การติดต่อสื่อสารทำได้โดยง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนของกิจการ เป็นผลให้กิจการโทรคมนาคมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของทั้งประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยรวมไปถึงช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวอีกด้วย

ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กระทรวง ICT) มีนโยบายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียน จึงมีการดำเนินการหลายๆ อย่างที่จะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียนในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรม ICT ในด้านต่างๆ ทั้งด้านโทรคมนาคม ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้านแอนิเมชั่น ด้านเกม ด้านอุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์ ด้านการให้บริการโครงข่าย เป็นต้น ทั้งยังมีการรวบรวมข้อมูลสถานภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ICT และภาพรวมของอุตสาหกรรม ICT การจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางด้าน ICT หรือ ICT Academy เพื่อเป็นแหล่งพัฒนาบุคลากรด้าน ICT ให้มีศักยภาพและทักษะฝีมือสูงเพียงพอที่จะลงสนามแข่งขันในตลาดระดับภูมิภาค รวมไปถึงการเตรียมวางกรอบมาตรฐานวิชาชีพ ICT เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรด้าน ICT ของภูมิภาคอาเซียนเมื่อเข้าสู่การเป็น AEC แล้ว นอกจากนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านงานราชการก็ยังมีสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. ที่ได้นำเทคโนโลยี Cloud Computing มาใช้ในระบบราชการไทย โดยการตั้ง Government Cloud Service ขึ้นตามนโยบายของกระทรวง ICT ซึ่ง Government Cloud Service นี้จะช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของส่วนราชการให้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้านภาคเอกชนในอุตสาหกรรม ICT ก็ตื่นตัวกับการเข้าสู่ AEC เช่นกัน บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ICT รวมไปถึงผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมต่างมีการเตรียมความพร้อมรับการเข้าสู่การเป็น AEC อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม Capacity เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปิด AEC มีการหาหุ้นส่วนหรือพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมลงทุนด้านโครงข่ายในประเทศเพื่อนบ้าน และการเชื่อมโครงข่ายกับผู้ให้บริการในต่างประเทศอันเป็นวิธีการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดวิธีหนึ่ง ทั้งยังเป็นการปรับตัวให้เป็นไปตามนโยบายของอาเซียนที่ต้องการให้อาเซียนเป็นหนึ่งเดียว มีการเปิดเสรีในหลายๆ ด้านรวมไปถึงด้านกิจการโทรคมนาคมด้วย การเปิดเสรีนี้จะทำให้ผู้ให้บริการทุกรายในอาเซียนแข่งขันอยู่ในสนามเดียวกัน ผู้ให้บริการจากประเทศอื่นในอาเซียนก็จะสามารถให้บริการในประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ให้บริการไทยจึงอาจพิจารณาความเหมาะสมในการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นรวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการชาวไทยเมื่อเดินทางไปในประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วยนั่นเอง ทั้งนี้อุตสาหกรรม ICT บรรจุไว้ในสาขาเร่งรัดของการเปิดเสรีภาคบริการ (Fast Track) คือสำหรับประเทศที่รับรองแล้วต้องไม่มีข้อจำกัดการให้บริการข้ามพรมแดน ทยอยให้ต่างชาติถือหุ้นได้ร้อยละ 70 และเปิดให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานด้านกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทยได้ในปี ค.ศ. 2013

ทางด้านคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยก็มีการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าสู่เออีซี เช่นกัน เบื้องต้น กสทช. มีการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนการปฏิบัติเพื่อรองรับการเปิดเออีซีผ่านการจัดทำแผนแม่บทพัฒนากิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555 – 2559) ซึ่งหนึ่งในหกยุทธศาสตร์ที่ กสทช. จัดทำขึ้นคือการเตรียมความพร้อมและการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้ กสทช. ยังมีความพยายามที่จะแก้ประกาศหลายฉบับของ กทช. เดิม เพื่อผ่อนคลายกฎระเบียบหรือลดความตึงของประกาศ (Deregulated) ให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมสามารถเติบโตได้ดีขึ้น อันเป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมที่ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการน้อยรายหากเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนที่มีการพัฒนาด้านโทรคมนาคมสูงอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย การแข่งขันสูงในตลาดนี้จะช่วยให้คุณภาพการให้บริการดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ กสทช. ยังมีการทำข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ศึกษาหาข้อเสนอแนะในการวางทิศทางเมื่อเปิดเออีซีอีกด้วย

แต่เรื่องนี้จะไม่กล่าวถึงคู่แข่งที่สำคัญคือประเทศสิงคโปร์นั้นไม่ได้ ปัจจุบันประเทศสิงคโปร์เป็นสมาชิกอาเซียนที่มีการพัฒนาด้านกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารล้ำหน้าที่สุดในอาเซียน มีความเจริญด้านเทคโนโลยีต่างๆ และมีการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมที่ค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากมีหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมมานานแล้ว อีกทั้งบรรดาผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ICT รวมทั้งกิจการโทรคมนาคมระดับโลกต่างก็ใช้สิงคโปร์เป็นฐานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคอาเซียน บางบริษัทมีการตั้งสำนักงานระดับเอเชีย-แปซิฟิกในสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม ICT ของสิงคโปร์อยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีประเทศไทยมีข้อได้เปรียบตรงที่มีตลาดโทรคมนาคมขนาดใหญ่กว่า ผู้บริโภคมากกว่าสิงคโปร์ที่เป็นประเทศเล็กมีประชากรน้อย นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีความเหมาะสมทางด้านภูมิศาสตร์ และประชาชนในประเทศยังมีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง ซึ่งหากประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่ดีก็จะสามารถเป็นศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียนได้

อุตสาหกรรมทีวีดิจิตอล

อุตสาหกรรมทีวีดิจิตอล

www.lawyer-thailand.com

การประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจทั้ง 24 ช่องของประเทศไทยโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีความคึกคักและน่าติดตามมากขึ้นทุกขณะเมื่ออุตสาหกรรมต่างๆ เผยกลยุทธ์รับโอกาสในการสร้างรายได้จากการปรับเปลี่ยนสู่ยุคทีวีดิจิตอล

การปรับระบบรับและส่งสัญญาณโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไปสู่ระบบดิจิตอลนั้น กสทช. ได้กำหนดให้มีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 ประเภท คือ ใบอนุญาตโครงข่าย หรือ Multiplexer (MUX) ใบอนุญาตสิ่งอำนวยความสะดวกหรือเสาส่งสัญญาณ ใบอนุญาตช่องรายการ 48 ช่อง และใบอนุญาตบริการประยุกต์ ระบบทีวีดิจิตอลกำลังจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนเงินมหาศาล นายอนุพนธ์ เตจ๊ะวันโน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านทีวีดิจิตอล บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) หนึ่งในทีมงานที่เคยร่วมเปลี่ยนระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกสู่ระบบดิจิตอลในประเทศออสเตรเลียได้ทำการประเมินเบื้องต้นว่าการเปลี่ยนผ่านระบบในประเทศไทยครั้งนี้จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 1 – 3 แสนล้านบาทด้วยจำนวนผู้เล่นหลายภาคส่วนทั้งคอนเทนท์โพรวายเดอร์ เน็ตเวิร์คโปรวายเดอร์ และบรอดแคสเตอร์รวมทั้งสิ้นกว่า 100 ราย

ที่กล่าวว่าจะมีเงินสะพัดกว่าแสนล้านนั้นประกอบด้วยหลายกลุ่ม อาทิ การลงทุนโครงข่าย หรือ MUX ที่ กสทช. กำหนดให้มีใบอนุญาตรวม 6 ใบอนุญาต 6 โครงข่ายซึ่งแต่ละโครงข่ายจะลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท หากรวม 6 ใบอนุญาตก็จะเป็นเงินประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการที่สนใจขอใบอนุญาตด้านโครงข่ายนี้ เช่น อสมท. ไทยพีบีเอส กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 เป็นต้น

ด้านกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหาหรือคอนเทนท์โพรวายเดอร์ก็มองการลงทุนทีวีดิจิตอลเป็นโอกาสทองของอุตสาหกรรมประเภทนี้เช่นกันโดยจะเห็นได้จากการออกมาประกาศแผนธุรกิจและทิศทางการดำเนินงานของบริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) ที่จะก้าวสู่การเป็น Multi Content Media Network เช่นเดียวกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรายการในกลุ่มวาไรตี้ของบริษัทในเครือมาร่วมดำเนินการทั้งเอ็กแซ็กท์ กลุ่ม A-Time และ GTH เป็นต้น

ในอดีตคอนเทนท์ โพรวายเดอร์ อาจเข้าสู่ตลาดได้ยากเนื่องจากแพลตฟอร์มมีอยู่อย่างจำกัดแค่ฟรีทีวีไม่กี่ช่อง แต่ในปัจจุบันที่มีทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และกำลังจะมีทีวีดิจิตอลด้วยอีก ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กมีโอกาสเข้ามาเป็นคอนเทนท์โพรวายเดอร์ได้มากขึ้น ประกอบกับความต้องการรับชมประเภทรายการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันมากขึ้น ทำให้โอกาสของคอนเทนท์ โพรวายเดอร์เหล่านี้มีมากขึ้นโดยส่วนหนึ่งคงต้องยอมรับว่ามีผลมาจากการเกิดทีวีดิจิตอลนั่นเอง

กลุ่มต่อมาที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองที่สุดคือช่องรายการธุรกิจจำนวน 24 ช่องที่ กสทช. จะจัดประมูลในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายนปีนี้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว รศ.ดร.ไพฑูรย์ ไกรพรศักดิ์ หัวหน้าทีมวิจัยประเมินมูลค่าคลื่นความถี่โทรทัศน์ในระบบดิจิตอล คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคาดรายได้จากการประมูล 24 ช่องอยู่ที่ราว 20,700 ล้านบาท

นอกจากนี้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลยังมาจากการวิธีในการรับชมที่แบ่งออกเป็น 2 ช่องทางคือการติดตั้งกล่องรับสัญญาณหรือที่บางคนเรียกว่า Set top box โดยวิธีนี้สามารถที่จะติดตั้งกับจอโทรทัศน์เครื่องเดิมที่มีอยู่ได้ทันที ปัจจุบันกล่องรับสัญญาณรุ่น HD ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 บาทต่อกล่อง และด้วยจำนวน 22 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศจะทำให้เกิดเม็ดเงินถึง 5.5 หมื่นล้านบาท อีกช่องทางหนึ่งคือการซื้อโทรทัศน์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้สามารถรับสัญญาณดิจิตอลได้ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดและลูกเล่นต่างๆ ที่มากับเครื่องโทรทัศน์นั้นๆ แต่ทั้งการซื้อกล่องรับสัญญาณและการซื้อทีวีใหม่นั้น กสทช. มีแผนงานที่จะแจกคูปองส่วนลดให้กับประชาชนทั้ง 22 ครัวเรือนเพื่อนำไปเป็นส่วนลดในการซื้อด้วย

การเปิดประมูลทีวีดิจิตอลในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะแต่ในกิจการวิทยุโทรทัศน์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้วยเนื่องจากกำลังจะเกิดการหลอมรวมของอุตสาหกรรมทั้ง 2 ส่วน อันมีที่มาจากการเปิดให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการบนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ของทางฝั่งโทรคมนาคมจากผู้ประกอบการทั้ง 3 รายที่มีแนวโน้มว่าจะนำ 3G มาผนวกเข้ากับธุรกิจด้านทีวีดิจิตอล

โดยที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มบริษัท อินทัช กรุ๊ป ที่มีบริษัท แอดวานซ์ อินโฟว์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เป็นบริษัทในเครือนั้น นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร อินทัช กรุ๊ปกล่าวถึงสาเหตุที่อินทัชต้องการเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลเพื่อต่อยอดธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค บริษัทลูกของ AIS ด้วย ซึ่งภาพธุรกิจเบื้องต้นของอินทัช คือเมื่ออินทัชมีช่องรายการทีวีก็จะส่งสัญญาณทีวีผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

การเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับและส่งสัญญาณในระบบทีวีดิจิตอลในครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมวิทยุโทรทัศน์ไทยในรอบ 50 ปีและจะเป็นการประมูลใบอนุญาตช่องรายการโทรทัศน์ครั้งแรกของ กสทช. จึงไม่น่าแปลกใจที่กำลังจะสร้างเม็ดเงินที่สะพัดกว่าแสนล้านบาท ประกอบกับใบอนุญาตช่องรายการที่มีระยะเวลา 15 ปีจึงนับเป็นโอกาสอันดีในการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวมไปถึงเป็นโอกาสอันดีของผู้เล่นรายเดิมในการขยายฐานผู้ชมและพัฒนาคุณภาพของเนื้อหาที่จะต้องมีความหลากหลายและตอบโจทก์ความต้องการของผู้บริโภคที่อาจมีความแตกต่างหรือมีความต้องการในลักษณะเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น

 

 

นับถอยหลังสู่ IPv6

นับถอยหลังสู่ IPv6

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

อินเตอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากยอดการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเติบโตขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศไทยจนส่งผลให้หมายเลขไอพีของอินเตอร์เน็ตเดิม Internet Protocol Version 4 (“IPv4”) จำนวนประมาณ 4,000 ล้านเลขหมายนั้นกำลังจะ หมดลง หากหมายเลขไอพีอินเตอร์เน็ตหมดลงสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย คณะรัฐมนตรีจึงอนุมัติแผนที่ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (“กระทรวงไอซีที”) เตรียม Internet Protocol Version 6 (“IPv6”) ขึ้นมาใช้แทน IPv4 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนหมายเลขไอพีอินเตอร์เน็ตในอนาคตด้วย ในคอลัมน์ฉบับนี้จะขอนำผู้อ่านไปรู้จักกับระบบ IPv6 และความพร้อมล่าสุดในการนำระบบ IPv6 มาใช้ในประเทศไทย

โดยทั่วไปกลไกสำคัญในการทำงานของอินเทอร์เน็ตก็คืออินเทอร์เน็ตโพรโตคอล ส่วนประกอบสำคัญของอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลได้แก่หมายเลขอินเทอร์เน็ตแอดเดรสหรือไอพีแอดเดรส (IP address) ที่ใช้ในการอ้างอิงเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆบนอินเทอร์เน็ตทั่วโลก เปรียบเสมือนการใช้งานโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันที่จะต้องมีเลขหมายโทรศัพท์เพื่อให้อ้างอิงผู้รับสายได้ฉันใด คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตก็ต้องมีหมายเลข IP Address ที่ไม่ซ้ำกับใครฉันนั้น ที่ผ่านมาเราใช้ IPv4 เป็นมาตรฐานในการส่งข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 แต่ด้วยการขยายตัวของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็มีได้มีรายงานวิจัยพบว่าจำนวนหมายเลข IP address ของ IPv4 กำลังจะถูกใช้หมดไปและไม่เพียงพอกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตในอนาคต

IPv6 จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้แทนที่ IPv4 โดย IPv6 ออกแบบมาเพื่อปรุงโครงสร้างของตัวโพรโตคอลให้รองรับหมายเลขแอดเดรสจำนวนมาก และปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆ อีกหลายประการ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและความปลอดภัยรองรับระบบแอพพลิเคชั่น (application) ใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแพ็กเก็ต (packet) ให้ดีขึ้น อันจะทำให้ IP address เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมากขึ้นหลายเท่าสำหรับ IP address เดิมภายใต้ IPv4 addressนั้น มี 32 บิต ในขณะที่ IPv6 address มีถึง 128 บิต คาดการณ์กันว่าระบบนี้จะมีจำนวน IP address ถึง 340 ล้านล้านเลขหมายทีเดียว โดยระบบนี้จะสามารถตอบสนองต่อการขยายตัวและความต้องการใช้งานเทคโนโลยีบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคตได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นอินเตอร์เน็ตระบบนี้น่าจะสามารถพัฒนาเพื่อใช้เชื่อมต่อสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ 3G และ 4G ที่จะเปิดใช้ในอนาคตได้เป็นอย่างดีด้วย

จากประสิทธิภาพที่ดีของ ไอพีวี6 คณะรัฐมนตรีของไทยจึงได้ออกมติเห็นชอบให้กระทรวง ไอซีที เร่งดำเนินแผนงานเปลี่ยนงานเพื่อผลักดันเปลี่ยนระบบอินเตอร์เน็ตประเทศไทยให้ทันสมัยขึ้นจาก IPv4 มาเป็น ไอพีวี6 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา

และในวันถัดมากระทรวง ไอซีที ก็ได้วางแผนการพัฒนาระบบ ไอพีวี6 ให้สอดคล้องกับมติ คณะรัฐมนตรีที่ออกมา โดยไอซีทีจะวางแผนปฏิบัติการระยะสั้นที่ใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2556 – 2558) ในแต่ละปีมีขั้นตอนดำเนินงานโดยปี 2556 จะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการและประสานงาน ไอพีวี6 เพื่อให้คำปรึกษา อบรม ทดสอบ ตรวจประเมินด้าน ไอพีวี6 ของประเทศ ในปี 2557 ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทุกรายจะต้องเปิดบริการโดยสามารถเชื่อมโยง ไอพีวี6 ได้ และในปี 2558 จะมีการติดตั้ง ระบบอินเตอร์เน็ต ไอพีวี6 ให้แก่หน่วยงานของรัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

นอกจากแผนปฏิบัติการระยะสั้นแล้ว ไอซีที ยังวางแผนจะสนับสนุนให้ ไอพีวี6 ประสบความสำเร็จในระยะยาวด้วยการพัฒนาบุคลากรไปพร้อมกับเทคโนโลยี ทั้งนี้ไอซีทีจะจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ ไอพีวี6 ให้แก่ทั้งบุคลากรของภาครัฐและเอกชนให้มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในระบบ ไอพีวี6 นอกจากนั้นไอซีทีจะรณรงค์ให้หน่วยงานต่างๆหันมาใช้ IPv6 กันมากขึ้นด้วย

ดังนั้นเราจึงควรติดตามดูการพัฒนาจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 ซึ่งเป็นการพัฒนาอินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดภายในรอบสามสิบปี นับตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้งาน ซึ่งหากทำสำเร็จภายในสามปีตามที่กระทรวงไอซีที วางแผนไว้ โอกาสที่คนไทยจะได้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น 80% ที่ไอซีทีตั้งเป้าไว้คงไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากนั้นระบบติดต่อสื่อสารต่างๆที่เชื่อมโยงกับอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยก็จะพัฒนามากขึ้นด้วยเช่นกัน

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

ความเร็วอินเตอร์เน็ต

ความเร็วอินเตอร์เน็ต

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธได้อีกแล้วว่าการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพประชากร การใช้งานอินเตอร์นั้นสามารถทำได้หลากหลาย เช่น อาจใช้เพื่อความบันเทิงในการเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ หรือใช้ส่งข้อมูลจากเครื่องตัวเองไปที่เว็บไซต์ (อัพโหลด) หรือนำข้อมูลจากเว็บไซต์มาลงคอมพิวเตอร์ (ดาวน์โหลด) ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลก สำหรับในประเทศไทยของเราเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2530 โดยเป็นประเทศที่สามในอาเซียนที่เริ่มใช้อินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาการใช้อินเตอร์เน็ตได้เริ่มแพร่หลายตามจังหวัดใหญ่ๆ และในตัวเมืองของจังหวัดอื่นๆ ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่าในปี พ.ศ. 2553 ไทยมีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตประมาณ 14.6 ล้านคน หรือประมาณ 21.2% ของประชากรทั้งหมด

อินเทอร์เน็ตถือเป็นปัจจัยพื้นฐานระดับต้นๆ หากมองในแง่ของชีวิตประจำวัน ยิ่งปัจจุบัน Social Network ต่างๆ อาทิ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไลน์ กำลังเป็นที่นิยมมากในยุคนี้ ประชาชนส่วนมากมีความต้องการที่จะใช้อินเทอร์เน็ตในระดับความเร็วสูงถึงสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามจากการทดสอบคุณภาพของอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าความเร็วอินเตอร์เน็ตล่าสุดยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพึงพอใจนัก ผลการทดสอบพบว่าความเร็วเฉลี่ยของอินเตอร์เน็ตประเทศไทย เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์โดยคิดยอดจากทั่วประเทศมาเป็นค่าเฉลี่ยออกมาแล้วผลปรากฏว่าความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ยในไทยมีค่า 70.8% ความเร็วอัพโหลดมีค่า 14.6 % ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยความเร็วอินเตอร์เน็ตระดับโลก แม้ว่าไทยจะเป็นที่ 3 ของอาเซียน ดังนั้นการที่จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากจึงไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของอินเตอร์เน็ตจะดีมากขึ้นตามไปด้วย เราจะต้องมาดูปัจจัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้การใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยยังไม่พัฒนาไปดีเท่าที่ควรจะเป็น

ปัญหาหลักที่พบคือขาดความเสถียรในการใช้งานอินเตอร์เน็ตระหว่างพื้นที่ กล่าวคือในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญๆ ของกรุงเทพมหานครนั้นสัญญาณอินเตอร์เน็ตมีความรวดเร็วมาก ตรงกันข้ามกับตามต่างจังหวัดซึ่งส่วนใหญ่กลับไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต แม้เราจะเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี 3G คลื่นความถี่ 2.1GHz แล้วแต่ดูเหมือนแก้ปัญหาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยหลายๆแห่งยังถือว่าล่าช้าอยู่มาก

อย่างไรก็ดีปัญหาอินเตอร์เน็ตล่าช้านั้นไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีหรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ทเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตก็มีส่วนด้วยเช่นกันเนื่องจากเรามีคนใช้อินเตอร์เน็ทกันเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ใช้งานส่วนมากไม่รู้วิธีใช้อินเตอร์เน็ทอย่างถูกต้องทำให้การใช้งานอินเตอร์เน็ทไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นตัวอุปกรณ์ที่ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตกันอยู่ในปัจจุบันอาจมีมาตรฐานที่ไม่ดีพอ คอมพิวเตอร์บางเครื่องอาจมีความช้าเกินในการเข้าหน้าเว็บไซต์หรือติดไวรัสทำให้ทำงานช้าลง สายโทรศัพท์ที่ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็อาจเป็นสายแบบเก่าทำให้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้ดีเท่าที่ควร

เมื่อมองถึงปัญหาต่างๆ ดังกล่าวรัฐจึงต้องพยายามแก้ไข ทั้งนี้ในปัจจุบันความต้องการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น ภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ที่ผ่านมากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(“ไอซีที”) ได้วางนโยบายบางส่วนเช่นการเตรียมออกนโยบายพัฒนาอินเตอร์เน็ทในระยะยาวด้วยการนำ Internet Protocol Version 6 (“IPv6”) ขึ้นมาใช้แทน Internet Protocol Version 4 หรือ IPv4 เพราะเทคโนโลยีใหม่กว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับ 3G หรือ 4G ได้ดีขึ้นและความเร็วในการใช้อินเตอร์เน็ตน่าจะมีมากขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากจะแก้ปัญหาความเร็วอินเตอร์เน็ทที่ขัดข้องในปัจจุบันอย่างเร่งด่วนนั้น อาจควรมีการตรวจสอบผู้ให้บริการว่าการให้บริการนั้นสามารถทำได้ตามที่โฆษณาไว้กับผู้บริโภคหรือไม่หรือมีเหตุขัดข้องตรงไหน หากมีจะได้ช่วยกันตรวจสอบและแก้ไข และควรให้ความสำคัญกับตัวผู้ใช้อินเตอร์เน็ทว่าได้ใช้งานอินเตอร์เน็ทอย่างถูกวิธีหรือไม่ เช่น อาจจัดให้มีการอบรมทักษะการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างถูกต้องโดยอาจเริ่มที่หน่วยงานของรัฐแล้วกระจายไปยังภาคเอกชน

เนื่องจากความสมบูรณ์ของการให้บริการของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะประเทศใดๆในโลกก็ตามล้วนแต่มีจุดบกพร่องอยู่ แต่หากว่าเราสามารถที่จะช่วยกันตรวจสอบและแก้ไขแล้ว มาตรฐานอินเตอร์เน็ตที่ดีที่สุดของประเทศไทยอาจจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร