"TURN EXPERIENCE TO VICTORY"

ค่าบริการ 3G ลดแล้ว

ค่าบริการ 3G ลดแล้ว

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

หลังจากที่มีกระแสพูดถึงค่าบริการ 3G ใหม่บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่ในช่วงเริ่มต้นของการเปิดให้บริการดูเหมือนว่าจะไม่มีการปรับลดราคาลงดังที่มีการคาดหมายกันไว้ ทำให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการอย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทสช. ต้องเรียกผู้ได้รับใบอนุญาตทั้ง 3 รายอันได้แก่บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ AIS บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือ TRUEMOVE และบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ DTAC มาหารือถึงแนวทางในการลดค่าบริการ 3G ลงให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 15 ตามที่ได้มีการประกาศไว้ ซึ่งผลการหารือก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นที่น่าพอใจของบรรดาผู้ใช้บริการทั้งหลาย เมื่อผู้ประกอบการทั้ง 3 รายยอมลดค่าบริการลงตามที่ กสทช. กำหนด

สำหรับรายการส่งเสริมการขาย 3G เดิม (บนคลื่นความถี่อื่น) ที่ยกมาให้บริการต่อบนคลื่นความถี่ 2.1 GHz นั้นจะต้องลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในขณะที่รายการส่งเสริมการขายที่ออกใหม่สำหรับบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz นั้นมติที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. กำหนดให้ใช้อัตราเฉลี่ยของวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นวันที่ กสทช. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายเป็นฐานในการกำหนดอัตราค่าบริการใหม่ที่ต้องลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 โดยอัตราเฉลี่ยค่าบริการประเภทเสียงจากเดิมที่คำนวณได้คือ 97 สตางค์ต่อนาที ลดลงเหลือ 82 สตางค์ต่อนาที ค่าบริการข้อความสั้นหรือ SMS จากเดิมข้อความละ 1.56 บาท ลดลงเหลือ 1.33 บาทต่อข้อความ ค่าบริการ MMS จากเดิมข้อความละ 3.90 บาท ลดลงเหลือ 3.32 บาทต่อข้อความ และค่าบริการอินเทอร์เน็ตจากเดิม 33 สตางค์ต่อ 1 Mb ลดลงเหลือ 28 สตางค์ต่อ 1 Mb โดย กสทช. จะเริ่มตรวจสอบอย่างจริงจังในอีก 1 เดือนหลังจากวันที่ 27 พฤษภาคมที่ประกาศมาตรฐานราคากลางและรอบใบแจ้งหนี้เดือนแรกของคลื่นความถี่ 2.1 GHz ออกมาแล้ว

หากพิจารณาถึงค่าบริการ 3G ประเภทเสียง (Voice) ที่ถูกกำหนดให้ลดลงเหลือ 82 สตางค์ต่อนาทีนั้นจะพบว่าถูกกว่าที่ กสทช. เคยออกประกาศกำหนด เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555 ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ใช้บริการได้ไม่เกินนาทีละ 99 สตางค์ และหากเทียบกับค่าบริการในต่างประเทศแล้วจะพบว่าต่ำกว่าราคาค่าบริการในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร อิตาลี และญี่ปุ่น

นอกจากในประเด็นของค่าบริการแล้ว มาตรฐานความเร็วในการใช้งาน 3G ประเภทการรับ-ส่งข้อมูล (Data) ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีความคืบหน้าออกมาเช่นกัน ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้บริการกรณีความเร็วของการใช้งานรับ-ส่งข้อมูลบน 3G ที่ลดลงเมื่อผู้ใช้บริการใช้ความเร็วสูงสุดครบตามที่ผู้ประกอบการกำหนด ระบบจะทำการลดความเร็วลงอัตโนมัติตามกฎที่ผู้ประกอบการตั้งขึ้นมา โดยมีชื่อเรียกว่า Fair Usage Policy (FUP) ให้มาอยู่ที่ 64 – 128 Kbps ต่อวินาทีตามแต่ผู้ประกอบการจะกำหนด แต่ในการประชุมหารือเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา กสทช. ได้ให้ผู้ประกอบการยึดหลักปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งกำหนดให้ความเร็วเฉลี่ยในการส่งข้อมูลกรณี Download ต้องไม่ต่ำกว่า 345 kbps และไม่ต่ำกว่า 153 kbps สำหรับการ Upload ด้วย

โดยปกติค่าบริการของผู้ประกอบการมักจะแปรผันตามการแข่งขันของตลาด ดังนั้นหากผู้ประกอบการรายใดสามารถมอบคุณภาพการบริการแก่ประชาชนผู้ใช้บริการที่ดีกว่าผู้ให้บริการรายอื่น ผู้ให้บริการรายนั้นก็อาจจะคิดอัตราค่าบริการที่สูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่นได้ แต่ทั้งนี้ยังคงต้องเป็นไปตามอัตราค่าบริการที่ไม่สูงไปกว่าที่ กสทช. ประกาศกำหนด ภายใต้คุณภาพที่ได้มาตรฐานทั้งด้านเสียงและข้อมูล

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

 

7 รายการที่ต้องได้ดู

7 รายการที่ต้องได้ดู

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างหลักเกณฑ์สำคัญในการเผยแพร่ภาพการแข่งขันกีฬาโดยกำหนดประเภทของการแข่งขันที่คนไทยทุกคนจะต้องได้ดู

นายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กสทช. และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. ด้านเศรษฐศาสตร์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมและกำกับการแข่งขันในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เป็นประธานในการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการโทรทัศน์ในช่องทางต่างๆ ทั้งตัวแทนฟรีทีวีและเคเบิลทีวีเกี่ยวกับร่างประกาศใหม่ของ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์การแพร่ภาพรายการแข่งขันกีฬาที่สำคัญ

ในอดีตการถือครองลิขสิทธิ์กีฬาจะเป็นลักษณะการแข่งกันประมูลด้วยราคาลิขสิทธิ์มหาศาลที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ซื้อลิขสิทธิ์ด้วยมูลค่าสูงสุดติดอันดับแรกๆ ของโลกและเป็นการซื้อลิขสิทธิ์แบบผูกขาด แต่ในขณะนี้ กสทช. กำลังขอความเห็นเพื่อพิจารณาร่างประกาศลิขสิทธิ์กีฬาบางชนิดที่คนไทยต้องการดูซึ่งผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์ควรแบ่งให้ฟรีทีวีและเคเบิลทีวีออกอากาศได้ด้วย เรียกว่า “ร่าง Non-Exclusive” หรือมาตรการแบ่งให้ โดยผู้ประกอบการไม่สามารถผูกขาดหรือกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้

การแบ่งจะต้องเป็นการซื้อขายลิขสิทธิ์ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ผูกขาดไว้เพียงเจ้าเดียวเพราะจะเป็นการกีดกันทำให้ผู้ชมเสียประโยชน์ไม่สามารถรับชมได้ การแข่งขันกีฬาที่ กสทช. ได้มีการกำหนดเบื้องต้นว่าจะต้องมีการแบ่งลิขสิทธิ์ให้ฟรีทีวีและเคเบิลทีวีในขณะนี้ยังเป็นการกำหนดในเบื้องต้นเท่านั้น สามารถเพิ่มเติมหรือลดรายการจากที่กำหนดไว้แล้วได้

ชนิดกีฬาที่บังคับถ่ายทอดสด 7 รายการประกอบด้วย รายการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก รายการแข่งขันคอนเฟเดอเรชั่นส์คัพ รายการแข่งขันเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้ายและรอบที่มีทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขัน รายการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกหรือฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย การแข่งขันเซปักตะกร้อชิงแชมป์โลก รายการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับชิงแชมป์โลก รายการแข่งขันเทนนิส เดวิส คัพ

เหตุผลที่ กสทช. ออกร่างประกาศ Non-Exclusive นี้เพราะต้องการให้กีฬาบางรายการที่ประชาชนให้ความสนใจ ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและรับชมได้อย่าวทั่วถึง กับทั้งยังเป็นการลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง เพราะการแบ่งให้ถ่ายทอดสดนั้นสามารถต่อรองเรื่องส่วนแบ่งต้นทุนค่าลิขสิทธิ์กับผู้ประกอบการรายอื่นที่จะนำไปออกอากาศได้ อีกทั้งประเภทรายการกีฬาทั้ง 7 รายการล้วนเป็นประเภทที่มีผลต่อตลาดน้อย เนื่องจากนโยบาย กสทช. ไม่ประสงค์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลไกเรื่องการตลาดการแข่งขัน ดังนั้นในกรณีลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลโลก หรือรายการที่มีการแข่งขันกันสูง กสทช. จะไม่มีการนำร่างประกาศฉบับนี้เข้าไปบังคับใช้

ในการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ตัวแทนของฟรีทีวีและเคเบิลทีวีส่วนใหญ่เห็นด้วยและได้เสนอแนวความคิดเรื่องการประมูลกีฬาชนิดต่างๆ ว่าควรให้ผู้ประกอบการในแต่ละช่องทางได้พูดคุยกันมากกว่าการแข่งขันกัน เนื่องจากในปัจจุบันการประมูลมีตัวเลขค่อนข้างสูงและผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับคนไทย นอกจากนี้ยังเสนอให้ก่อตั้งหน่วยงานกลางของผู้ประกอบการเพื่อจัดซื้อลิขสิทธิ์กีฬาต่างประเทศ และก่อนที่จะไปซื้อลิขสิทธิ์กีฬาใดควรที่จะมีการพูดคุยกับผู้ที่สนใจลิขสิทธิ์กีฬารายการเดียวกันและรวมเงินกันไปซื้อเพื่อป้องกันการซื้อลิขสิทธิ์ด้วยราคาที่แพงมหาศาลเหมือนที่เป็นมาซึ่งผลเสียจะอยู่กับผู้บริโภค ในขณะที่นายวิชิต เอื้ออารีวรกุล ที่ปรึกษานายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยได้เสนอว่า กสทช. ควรออกประกาศบังคับให้ทุกชนิดกีฬา ไม่ใช่แค่เพียง 7 ประเภทรายการต้องแบ่งการออกอากาศ ห้ามถือครองลิขสิทธิ์ผูกขาดไว้แต่เพียง ผู้เดียว ซึ่งวิธีดังกล่าวจะช่วยลดมูลค่าเพิ่มจากการแข่งขันช่วงชิงเป็นผู้ชนะในการประมูลลิขสิทธิ์รายการใดรายการหนึ่งของผู้ประกอบการรายใหญ่อันจะเป็นการลดต้นทุนในการประมูลค่าลิขสิทธิ์อย่างแท้จริง

ร่างประกาศฉบับนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ยังไม่มีผลบังคับใช้และมีโอกาสที่จะเพิ่มหรือลดประเภทรายการ หรือมีการเปลี่ยนแปลงประเภทรายการกีฬาได้ ผู้บริโภคจึงควรติดตามอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อยที่สุดนับว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นการพัฒนาวงการโทรทัศน์ไทยควบคู่ไปกับการพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภค

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

บริการคงสิทธิเลขหมาย

บริการคงสิทธิเลขหมาย

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

บริการคงสิทธิเลขหมาย หรือ Mobile Number Portability (MNP) คือการที่ลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายหนึ่งสามารถย้ายไปใช้บริการหรือย้ายไปเป็นลูกค้าของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกรายหนึ่งได้โดยที่ยังคงใช้หมายเลขโทรศัพท์เดิมของตน ไม่จำต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ทั้งนี้โดยผ่านศูนย์ระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลกลางของบริษัทที่เกิดจากการร่วมลงทุนกันของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ทั้ง 5 ราย อันได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรูมูฟ จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอคเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ “บริษัทศูนย์ให้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ จำกัด” หรือเคลียริ่งเฮ้าส์ (Clearing House)

ศูนย์ให้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ จำกัด หรือ Clearing House ทำหน้าที่ดูแลการย้ายค่ายโดยคงเลขหมายเดิมของลูกค้าไว้ ศูนย์นี้จะทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกระบวนการโอนย้ายเลขหมายและอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการประสานงานระหว่างผู้ให้บริการรายเดิมกับผู้ให้บริการรายใหม่กับเป็นระบบฐานข้อมูลที่บันทึกรายละเอียดของเลขหมายโทรศัพท์ที่ได้มีการเปลี่ยนผู้ให้บริการด้วย ตามกำลังโดยเต็มนั้น Clearing House สามารถโอนย้ายเลขหมายได้สูงสุดถึงวันละ 1 – 3 แสนเลขหมายต่อวัน

แต่เดิมในอดีตไม่มีบริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เพิ่งจะมีในสมัยของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ที่ได้กำหนดรับรองสิทธิของลูกค้าผู้ใช้บริการและกำหนดหน้าที่รวมถึงแนวทางปฏิบัติต่างๆ ของผู้ให้บริการไว้ในประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ฉบับลงวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553) โดยประกาศเรื่องการคงสิทธิเลขหมายนี้ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน

ประกาศฯ ฉบับดังกล่าวได้กำหนดสาระสำคัญให้การคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นเป็นสิทธิโดยแท้ของผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการจะกระทำการใดๆ อันเป็นการกีดกันขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวการโอนย้ายมิได้ หรือจะปฎิเสธคำขอโอนย้ายของผู้ใช้บริการโดยหลักนั้นก็มิอาจกระทำได้ เว้นแต่ จะปรากฏว่าเลขหมายที่จะขอโอนย้ายนั้นได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของชาติหรือเป็นกรณีของเลขหมายที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดี เหล่านี้เป็นต้น ผู้ให้บริการจึงจะมีสิทธิในการปฏิเสธไม่ทำการโอนย้ายให้ได้

สำหรับขั้นตอนการขอโอนย้ายนั้นลูกค้าผู้ใช้บริการจะต้องยื่นคำขอโอนย้ายต่อผู้ให้บริการรายใหม่ที่ตนประสงค์จะทำการโอนย้ายไป ณ จุดที่ผู้ให้บริการรายใหม่กำหนด โดยมีกำหนดเวลาว่าการดำเนินการโอนย้ายต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่ยื่นขอและสำหรับกรณีของค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมการโอนย้ายที่ผู้ใช้บริการจะต้องชำระนั้น ประกาศฯ กำหนดว่าให้เป็นอัตราที่คณะกรรมการ กสทช. กำหนดซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัตราค่าธรรมเนียมที่ 99 บาท

มาตรการในการโอนย้ายผู้ใช้บริการไปยังค่ายอื่นโดยคงเลขหมายเดิมนี้เป็นมาตรการที่ดีในการคุ้มครองผู้ใช้บริการ เช่น กรณีที่สัญญาสัมปทานของผู้ให้บริการจำนวน 2 รายกำลังหมดอายุลง โดยผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ยังคงใช้หมายเลขโทรศัพท์เดิมได้อยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปแล้ว แต่การที่ Clearing House โอนย้ายเลขหมายได้เพียงวันละ 40,000 เลขหมายนั้นย่อมเป็นการยากที่จะโอนย้ายเลขหมายให้เสร็จเร็วทันวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในเดือนกันยายนปีนี้ได้ ในกรณีตามตัวอย่างนี้การโอนย้ายเลขหมายกว่า 17 ล้านเลขหมาย โดยโอนย้ายวันละ 40,000 เลขหมาย จะต้องใช้เวลาในการโอนย้ายเลขหมายทั้งหมดถึง 425 วัน ดังนั้นจึงมีการได้เสนอแนวทางให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กำหนดวิธีโอนย้ายค่ายจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ให้ลูกค้าสามารถโอนย้ายเลขหมายได้เต็มศักยภาพของ Clearing House เช่นที่จำนวน 300,000 เลขหมายต่อวัน

นอกจากนี้ยังคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงาน กสทช. เองก็ได้มีข้อเสนอ ให้ กสทช. พิจารณาและดำเนินการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคมิให้เผชิญกับปัญหาซิมดับเมื่อถึงวันที่สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง เช่นข้อเสนอที่ให้ กสทช. ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงการสิ้นสุดของสัญญาสัมปทานและบริการของบริษัททั้งสองที่กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้ พร้อมทั้งแนะนำเรื่องการโอนย้ายเลขหมาย โอนย้ายค่ายแก่ผู้บริโภค การเร่งให้ผู้ให้บริการร่วมมือกันในการเพิ่มขีดความสามารถของ Clearing House ในการโอนย้ายลูกค้าไปยังค่ายอื่น เนื่องจากการโอนย้ายค่ายแต่ยังคงใช้เบอร์เดิมนั้นเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่จะสามารถทำได้โดยหลัก

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

โปรแกรมร้ายใน Smartphone

โปรแกรมร้ายใน Smartphone

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

คนทั่วไปมักมีความเชื่อว่าไวรัสและโปรแกรมแปลกๆ มีแต่ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าปัจจุบันนี้เมื่อมีจำนวน Application หรือโปรแกรมที่สร้างความเสียหายให้กับข้อมูลบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ใช้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Smartphone ซึ่งทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนาโปรแกรมที่สร้างความเสียหายกับ Smartphone ขึ้นหรือที่เรียกว่า
“มัลแวร์ (Malware)” โดยเมื่อเราปฏิเสธไม่ได้ว่าอาชญากรออนไลน์หรือพวกมิจฉาชีพเหล่านี้หลบซ่อนอยู่ทุกที่ การป้องกันตนเองโดยการศึกษาว่ามัลแวร์คืออะไรและวิธีการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรรู้

มัลแวร์ หรือ Malware ย่อมาจาก Malicious Software หมายถึง ซอฟต์แวร์ชนิดใดๆ ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อทำอันตรายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ Smartphone มาจากการเขียนโปรแกรมที่ประกอบด้วย สคริปท์ โค้ด หรือคอนเท็นต์ ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายหรือขัดขวางการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ หรือนำไปสู่การสูญเสียความเป็นส่วนตัว การถูกแฮ็กข้อมูล หรือทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังระบบต่างๆ ได้ หรือแม้กระทั่งส่งอีเมล์ปลอมจากบัญชีอีเมล์ของคุณโดยที่คุณไม่ทราบ นอกจากนั้นมัลแวร์ยังสามารถขโมยข้อมูลสำคัญจากคอมพิวเตอร์หรือ Smartphone และจะค่อยๆ ทำให้คอมพิวเตอร์หรือ Smartphone ทำงานช้าลง

มัลแวร์ มีหลายประเภท โดยประเภทที่พบบ่อย ได้แก่ ไวรัส (Virus) หนอนอินเตอร์เน็ต (Worm) โทรจัน (Trojan) สปายแวร์ (Spyware) มัลแวร์เหล่านี้จะกระจายตัวไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์และ Smartphone รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้โดยง่าย ในปัจจุบันมักแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์และเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต หรืออาจติดได้จากการใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลาย เช่น ทัมป์ไดร์ฟ (Thumb Drive USB) เป็นต้น

ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง Worm หรือหนอนอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่สามารถกระจายตัวไปยังเครือข่ายต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดความเสียหายของซอฟท์แวร์ต่างๆ เหมือนอย่างไวรัส แต่หนอนอินเทอร์เน็ตนี้มีความน่ากลัวกว่าตรงที่สามารถกระจายตัวไปยังคอมพิวเตอร์เองได้โดยผ่านเครือข่ายซึ่งจะมาในรูปแบบจดหมาย อีเมล์ หรือไฟล์ที่เมื่อผู้ใช้งานเปิดดู ก็จะทำให้ติดทันที หนอนอินเทอร์เน็ตสามารถแย่งการใช้เครือข่าย หรือทรัพยากรในระบบ ในปัจจุบันหนอนอินเทอร์เน็ตก็ยังคงวนเวียนอยู่ในเครือข่ายการใช้งาน Social Network ต่างๆ อีกด้วย

หากจะถามว่ามัลแวร์เข้าสู่ Smartphone ได้อย่างไร มัลแวร์สามารถเข้าสู่ Smartphone ที่มีผู้ใช้งานอยู่ได้หลายวิธี เช่น การดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ฟรีจากอินเทอร์เน็ตที่มีมัลแวร์แฝงอยู่ การเข้าชมเว็บไซต์ที่ติดเชื้อมัลแวร์ การคลิกข้อความแสดงข้อผิดพลาดหรือหน้าต่าง pop-up ปลอม ซึ่งจะเป็นการเริ่มดาวน์โหลดมัลแวร์ หรือการเปิดไฟล์แนบอีเมล์ที่มีมัลเแวร์ ผู้บริโภคจะทราบได้อย่างไรว่าขณะนี้มีมัลแวร์ติดเข้ามาในระบบของเราแล้วหรือยัง ให้ผู้บริโภคสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เช่น มีธุรกรรมแปลกปลอมเกิดขึ้นในบัญชีธนาคาร มีการส่งสแปมเมล (Spam Email) ไปยังคนรู้จักที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดรายชื่อโดยที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบเรื่อง โปรแกรมและระบบคอมพิวเตอร์ทำงานผิดปกติ เช่น ช้าผิดปกติ หรือเปิดหน้าต่างไม่ได้ หากตรวจพบอาการเช่นนี้ควรนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ

ในเวลาอันใกล้นี้ที่ประเทศไทยจะมี 3G ใช้งานอย่างเป็นทางการ ทำให้มีการรับส่งข้อมูลผ่าน Smartphone มากขึ้น ดังนั้น Smartphone ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจึงต้องมีโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เราใช้ทำงานเช่นกัน

แนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดมัลแวร์เข้ามาในระบบของเรา เริ่มจากวิธีง่ายๆ โดยการเก็บรักษาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับตัวเอง อย่าวางทิ้งไว้ การล็อคโทรศัพท์เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ สำรองข้อมูลจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ในที่ปลอดภัยและไม่ควรเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญมากๆ ไว้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปิดการเชื่อมต่อบลูทูธ และหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อบลูทูธที่ไม่รู้จัก เลือกติดตั้งโปรแกรมในโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่าที่จำเป็นและเลือกจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น อัพเดทโปรแกรมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้อยู่ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพราะซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่มักมีการแก้ไขความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการติดมัลแวร์ ปัจจุบันเราจะเห็นว่าบางค่ายเช่น Microsoft และ Apple จะมีโปรแกรมอัปเดตสำหรับระบบปฏิบัติการออกมาอยู่เรื่อยๆ ผู้บริโภคจึงควรติดตั้งโปรแกรมอัปเดตเหล่านี้ทันทีที่พร้อมใช้งาน การไม่เปิดไฟล์แนบที่มากับอีเมล์ หรือคลิกลิงค์ใดๆ ที่ส่งมาในอีเมล์จากคนที่เราไม่รู้จัก การไม่ดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้มาตรฐาน ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ไม่น่าไว้ใจ หรือข้อความที่ส่งมาจากคนที่ไม่รู้จัก บางครั้งวิธีที่ช่วยได้คือการออกจากเว็บไซต์และค้นหาบทวิจารณ์หรือข้อมูลของเว็บหรือโปรแกรมนั้นก่อนจะดาวน์โหลดหรือติดตั้งอะไรก็ตาม

สุดท้ายคือการใช้ซอฟท์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีลิขสิทธิ์และถูกกฎหมายและมั่นใจว่าโปรแกรมจะมีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ ในการใช้ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์แบบ Smartphone ควรใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อสแกนหามัลแวร์ในสิ่งที่จะดาวน์โหลดก่อนที่จะเปิดดูทุกครั้งเพื่อให้โปรแกรมป้องกันไวรัสสแกนหามัลแวร์เสียก่อน โดยในปัจจุบันมีโปรแกรมออกมาช่วยผู้บริโภคในการป้องกันและกำจัดมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โปรแกรม FireAMP และ FirePOWER โดยซอร์สไฟร์ที่จะเป็นระบบป้องกับมัลแวร์ขั้นสูง หรือโปรแกรมฟรีที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมากในขณะนี้กับ MalwareBytes Anti – Malware ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีที่ผู้ใช้เชื่อว่าถูกออกแบบมาเพื่อป้องกัน ตรวจจับและกำจัดมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโปรแกรมหนึ่ง

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

 

คุณภาพเสียง 3G

คุณภาพเสียง 3G

 ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

การจัดประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ที่ผ่านไปนั้น สิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. คำนึงถึงมากที่สุดประเด็นหนึ่งคือคุณภาพการให้บริการ 3G ภายหลังการได้รับใบอนุญาตไปแล้ว

ปัจจุบันต้องเรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมอย่าง 850 MHz 900 MHz และ 1800 MHz ไปสู่ 3G บนคลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz บรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ค่ายที่ชนะการประมูลต่างพยายามวางโครงข่ายระบบ 3G อย่างเต็มที่เพื่อการให้บริการแก่ประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นในระยะเริ่มแรกนี้ก็ยังคงพบปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ 3G ประเภทเสียงอยู่มากพอสมควร ปัญหาที่มีการร้องเรียนจากผู้ใช้บริการมากที่สุดคือการโทรติดยาก ไม่มีสัญญาณ สายหลุดบ่อย เครือข่ายไม่ว่าง เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความสะดวก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในช่วงตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2556 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 มีผู้ร้องเรียนต่อ กสทช. ทั้งหมด 1,465 เรื่อง พื้นที่ที่พบปัญหาร้องเรียนมากสุดในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตยานนาวา เขตบางโพงพาง เขตพระราม 3 เขตบางรักและเขตท่าพระ

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่าจากปัญหาการร้องเรียนดังกล่าว กสทช. ได้ดำเนินการออกตรวจวัดคุณภาพการให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่และในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด โดยให้ดำเนินการตรวจวัดคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการตรวจสอบสำหรับในเขตกรุงเทพมหานครระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมาพบว่าการให้บริการประเภทเสียงบนเครือข่าย 2G มีอัตราการโทรออกสำเร็จและอัตราสายหลุดของผู้ให้บริการทุกค่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยอัตราสายหลุดของทุกค่ายนั้นเป็น 0 ส่วนระดับความแรงสัญญาณและคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่การให้บริการประเภทเสียงบนเครือข่าย 3G แบบ HSPA หรือ 3G บนคลื่นความถี่เดิมนั้น แม้จะพบว่าการให้บริการทุกเครือข่ายมีอัตราสายหลุดมากกว่าระบบ 2G คือมีตั้งแต่ร้อยละ 0.65 ไปจนถึงร้อยละ 3.95 และคุณภาพสัญญาณไม่ค่อยดี แต่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่ง กสทช. ได้ย้ำให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องรักษาคุณภาพบริการบนโครงข่ายเดิมให้ดีด้วยและต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานโดยเร็ว

ทั้งนี้ตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทเสียงได้กำหนดคุณภาพของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าต้องมีอัตราส่วนการเรียกสำเร็จ หรือ Successful Call Ratio ต่อจำนวนการเรียกทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 สำหรับการโทรภายในโครงข่ายของผู้ประกอบการเดียวกัน และไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 สำหรับการโทรข้ามโครงข่ายต่างผู้ประกอบการ ในกรณีสายหลุดนั้นประกาศฯ กำหนดให้มีอัตราส่วนของจำนวนสายหลุดต่อจำนวนการเรียกใช้ทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมงได้ไม่เกินร้อยละ 2 สำหรับการโทรภายในโครงข่ายของผู้ประกอบการเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตามประกาศฯ ของ กสทช. ฉบับนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีอัตราส่วนของการสายหลุดระหว่างร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 2 เท่านั้น แต่บางค่ายยังคงมีอัตราส่วนการสายหลุดที่เกินกว่าเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด จึงจำเป็นที่จะจะต้องปรับปรุงคุณภาพสัญญาณการให้บริการ เพราะแม้ว่าสาเหตุหลักของปัญหาจะมาจากการปรับปรุงโครงข่ายเพื่อดำเนินการเข้าสู่ระบบ 3G บนคลื่น 2.1 GHz ที่อาจทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ได้ก็ตาม แต่บรรดาผู้ประกอบการควรใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้กระทบประชาชนผู้บริโภคโดยอาจเลือกดำเนินการในช่วงเวลาที่มีการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่น้อยที่สุดควบคู่ไปกับการเร่งเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อโอนย้ายผู้ใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมไปยัง 3G บนคลื่นความถี่ใหม่อันจะทำให้สัญญาณคุณภาพดีขึ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประทศไทยในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยอาจดูตัวอย่างได้จากประเทศญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการ 4G ด้วยเทคโนโลยี LTE คู่ไปกับ 3G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ระบบ 4G ของประเทศญี่ปุ่นจะอยู่บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ใช้แถบความถี่กว้าง 10 MHz ซึ่งเป็นปริมาณแถบคลื่นความถี่ขั้นต่ำสำหรับเทคโนโลยี LTE โดยทำงานควบคู่กับเทคโนโลยี 3G เพื่อให้มีบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะเดียวกันด้วยรูปแบบธุรกิจแบบ MVNO ที่เปิดให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองเข้ามาเช่าใช้โครงข่ายเพื่อไปเปิดให้บริการในหลากหลายรูปแบบภายใต้
แบรนด์อื่นนั้นก็มีส่วนช่วยทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ทั้งรูปแบบบริการและแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย

สำหรับประเทศไทยแม้ผู้ประกอบการจะยังไม่มีนโยบายในการทำ 4G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz อย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่นก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้วศักยภาพของแต่ละย่านความถี่ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญกับความเร็วของบริการข้อมูล (Data) แต่ความเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณแถบความถี่ที่นำมาใช้ที่ต้องมีความกว้าง 10 MHz ขึ้นไปเท่านั้น

แม้หลาย ๆ คนจะมุ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี 3G เป็นหลักแต่ในขณะเดียวกันก็ควรเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงข่าย LTE เนื่องจากเทคโนโลยี 3G เน้นใช้งาน Data แบบ Downlink ขณะที่ LTE เข้ามาแก้จุดอ่อนเรื่องการใช้งาน Uplink ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการใช้งานSocial Network รูปแบบต่างๆ ที่ทำให้โครงข่าย 3G หนาแน่นขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ดังนั้นการลงทุนโครงข่ายที่รองรับทั้ง 3G และ 4G ไว้แต่เนิ่นๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์สำหรับอนาคตอันใกล้นี้และยังช่วยลดปัญหาคุณภาพสัญญาณที่อาจเกิดขึ้นด้วย

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร

 

 

 

ลดค่าบริการ 3G

ลดค่าบริการ 3G

ลดค่าบริการ 3G

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

หลังจากปรากฏการณ์เปิดบริการ 3G บนคลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz อย่างเป็นทางการของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รายเมื่อวันที่ 7 – 8 – 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยก้าวไปอีกขั้นกับการมี 3G เพื่อติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการอย่างเช่นประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในการเปิดตัว 3G ของแต่ละค่ายนั้นต่างก็ชูจุดเด่นที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณภาพการให้บริการ ด้านการเป็นผู้ให้บริการที่มีแบนด์วิธกว้างที่สุดหรือแม้แต่การเปิดให้บริการ 3G พร้อมกับ 4G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz เป็นรายแรกของประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนผู้บริโภคคาดหวังในขณะเดียวกันก็คืออัตราค่าบริการที่ไม่สูง

สำหรับอัตราค่าบริการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเรียกเก็บจากผู้บริโภคในการให้บริการ 3G ได้นั้น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นไว้ในประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประมูล 3G ว่าผู้รับใบอนุญาตจะต้องกำหนดอัตราค่าบริการให้เป็นธรรม สมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคและต้องจัดให้มีบริการที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. ประกาศกำหนด ซึ่งในเวลาต่อมา กสทช. ได้ระบุไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตให้บริการ 3G กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องลดค่าบริการลงจากเดิมโดยเฉลี่ยอย่างน้อยร้อยละ 15 ของอัตราค่าบริการเฉลี่ยประเภทเสียง (Voice) และบริการที่ไม่ใช่เสียง (Non Voice) ที่มีการให้บริการในตลาด ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2555

ปรากฏว่าในช่วงเริ่มแรกของการเปิดให้บริการ 3G นั้นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงไม่ได้ปรับลดราคาลงตามที่ กสทช. กำหนด โดยจะเห็นได้จากรายการส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นที่ยังคงเป็นอัตราเดิม แต่ผู้ให้บริการได้ให้เหตุผลว่าได้เพิ่มสิทธิประโยชน์และความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล (Data) ให้มากกว่า 15 % แทนการลดราคาแล้ว ทำให้เกิดเสียงวิพากวิจารณ์จากฝ่ายผู้บริโภคและสื่อมวลชนอันนำมาซึ่งการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รายกับ กสทช. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ท้ายที่สุดได้ผลสรุปร่วมกันว่าผู้ประกอบการทุกรายจะลดราคาค่าบริการ 3G ลงร้อยละ 15 และจะไม่ใช้การเสนอสิทธิประโยชน์ภายใต้ราคาเดิมอีกต่อไปแล้ว โดยบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ AIS จะเริ่มปรับราคาการให้บริการ 3G ทุกรายการตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคมเป็นต้นไป บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือ TRUEMOVE จะเริ่มปรับอัตราค่าบริการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป ส่วนบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ DTAC คาดว่าจะปรับราคาลดลงในเดือนมิถุนายนเช่นกัน ทั้งนี้การลดค่าบริการ 3G ของผู้ประกอบการทั้ง 3 รายนั้นจะครอบคลุมทั้งแพ็คเกจการให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมและ 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ด้วย จึงนับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับประชาชนผู้ใช้บริการ

ส่วนการออกประกาศกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงสำหรับบริการ 3G นั้นน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 14-16 เดือนหลังจากการเปิดให้บริการ เนื่องจาก กสทช. ต้องเก็บข้อมูลต้นทุนค่าบริการภายหลังการเปิดให้บริการจริงก่อนจึงจะสามารถคำนวณและกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่าบริการอาจมีการปรับลดลงเร็วกว่าที่กำหนด เนื่องจากตัวแปรสำคัญประการหนึ่งในการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงนั้น คืออัตราค่าตอบแทนในการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม หรือ Interconnection Charge (IC) แต่หากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายสามารถเจรจาลดค่าเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างกันได้ให้มีอัตราที่ต่ำกว่าอัตราค่าเชื่อมต่อชั่วคราวที่ กสทช. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 ให้ใช้อยู่ในขณะนี้สำหรับ 3G ที่นาทีละ 45 สตางค์กับ 2G ซึ่งอัตราค่าเชื่อมต่ออยู่ที่นาทีละ 1.70 บาท จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่สุดท้ายแล้วอัตราค่าบริการ 3G อาจลดลงมากกว่า 15 % ด้วย

อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ยังไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะสามารถใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ได้ในทันที แต่หากลูกค้าที่ใช้บริการอยู่กับทั้ง 3 ค่ายนั้นต้องการรับบริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz ใหม่จะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 วิธีนี้ คือเลือกโอนย้ายบริการจากคลื่นความถี่ที่ใช้อยู่เดิมไปยังคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ด้วยเลขหมายเดิม หรือที่เรียกว่า “การย้ายค่ายเบอร์เดิม” ภายใต้บริการคงสิทธิเลขหมาย (Mobile Number Portability : MNP)

เนื่องจากบรรดาบริษัทผู้ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในปัจจุบันนั้นแม้จะเป็นบริษัทลูกของบรรดาบริษัทผู้ให้บริการรายเดิมแต่ก็ถือว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งหรืออีกนิติบุคคลหนึ่ง ดังนั้นหากผู้ใช้บริการต้องการนำเลขหมายเดิมไปใช้บนเครือข่าย 3G ก็ต้องทำเรื่องขอใช้บริการคงสิทธิเลขหมาย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. จึงได้มีมติให้ระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ขยายประสิทธิภาพให้สามารถรองรับบริการได้ถึง 40,000 เลขหมายต่อวันแล้ว นอกจากนี้ กสทช. ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกำหนดค่าธรรมเนียมในการย้ายค่ายเบอร์เดิมให้ลดลงจากเดิม 99 บาทต่อครั้ง เหลือ 39 บาทต่อครั้งเป็นเวลา 2 เดือนและยังจะให้ลดอีกในภายหลังเหลือเพียง 29 บาทต่อครั้ง อีกทั้งยังระบุเงื่อนไขการโอนย้ายเลขหมายผู้ใช้โทรศัพท์ระบบเติมเงินไปใช้บริการ 3G ว่าจะต้องมีการยืนยันตัวบุคคลโดยใช้ข้อมูลบัตรประชาชนทุกครั้งเพื่อเป็นมาตรการป้องปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย

สำหรับอีกวิธีหนึ่งในการใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz คือผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับ Sim Card ใหม่ที่สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีภายใต้เลขหมายใหม่นั่นเอง

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร