"TURN EXPERIENCE TO VICTORY"

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนจบ)

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนจบ)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ต่อเนื่องจากประเด็นด้านการแก้กฎหมายกลุ่มเศรษฐกิจดิจิทัลในฉบับก่อนหน้านี้ ในฉบับนี้จะเป็นตอนจบที่เราจะได้นำเสนอเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้ไขร่าง “พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม” ซึ่งมีหลายประเด็นที่น่าสนใจและเป็นข่าวมากโดยเฉพาะเรื่องการประมูลคลื่นความถี่ที่หลายๆ คนเฝ้าจับตามอง

จากข้อสังเกตของบางฝ่ายที่ได้เคยมีมาในอดีตว่าการแยกบอร์ดใหญ่ออกเป็นสองบอร์ดย่อยของ กสทช. ตามพระราชบัญญัติปี พ.ศ.2553 นั้นเป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีการประสานงานกัน ในร่าง พรบ. ฉบับใหม่นี้จึงจะมีการแก้ไขให้รวมกันทำงานเป็นบอร์ดเดียวโดยหวังว่าจะทำให้มีการประสานงานกันและมีการทำงานที่มีความเป็นเอกภาพกันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งน่าจะช่วยให้การกำกับดูแลการสื่อสารในยุค convergence ทำได้ดีขึ้น แต่ทาง กสทช.นั้นก็ได้มีความเห็นแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าวว่าการที่คณะกรรมการ กสทช. ถูกรวมให้ทำงานเป็นชุดเดียวจำนวน 11 คนนั้น อาจจะเป็นจำนวนที่มากเกินไป จึงควรมีการทบทวนจำนวนองค์ประกอบของคณะกรรมการ กสทช. ให้เหมาะสมด้วย ในขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยยังโต้แย้งว่าการกำกับดูแลการประกอบกิจการโดยแบ่งออกเป็นสองคณะอาจมีความจำเป็นอยู่ในบางกรณีโดยเฉพาะในส่วนของกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ทั้งนี้เพราะกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เคเบิล ดาวเทียมเพิ่งปรับเปลี่ยนสถานะทางกฎหมายเข้าสู่กระบวนการรับใบอนุญาตภายใต้กติกาเดียวกัน ประกอบกับการพิจารณาออกใบอนุญาตของกิจการโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดินรายใหม่ ดังนั้นการกำกับดูแลงานด้านวิทยุและโทรทัศน์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการบังคับใช้กฎกติกาต่างๆซึ่งมีบทบาทค่อนข้างมาก จึงต้องมีการสร้างหลักประกันว่าการวางระบบอุตสาหกรรมกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ภายใต้ระบบอนุญาตและการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองต้องไม่สะดุด และองค์กรกำกับดูแลยังคงทำหน้าที่ในการกำกับให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเดินหน้าไปอย่างดีได้

นอกจากนี้แล้วร่าง พรบ.ฉบับใหม่ยังกำหนดให้ กสทช. ต้องทำงานภายใต้คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อันมีที่มาจากการคัดเลือกกำหนดให้มีคณะกรรมการเฉพาะด้าน 5 ด้าน คือ ด้าน Hard Infrastructure ด้าน Soft Infrastructure ด้าน Service Infrastructure ด้าน Digital Economy Promotion และด้าน Digital Society and Knowledge โดยกำหนดที่มาของคณะกรรมการจากหลายๆสาขาซึ่งบางส่วนมีที่มาจากฝ่ายการเมือง รวมไปถึงการคัดเลือกกรรมการจากองค์กรเอกชนที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. เช่นบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จึงอาจทำให้เกิดประเด็นเรื่องความเป็นอิสระในการทำงานของคณะกรรมการ กสทช. ที่ควรเป็นหน่วยงานกำกับดูแลซึ่งอิสระ แต่กลับต้องรับนโยบายจากคณะกรรมการดิจิทัลบางคนซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการ รวมทั้งการพิจารณาเรื่องที่ต้องมีความเป็นกลางและไม่มีส่วนได้เสียกัน นอกจากนี้แล้วการเลือกคณะกรรมการที่มาจากฝ่ายการเมืองอาจเอื้อต่อการทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย เนื่องจากไม่มีกลไกการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ จึงมีผู้เสนอเห็นควรให้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติของคณะกรรมการให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความขัดแย้งในบทบาทอำนาจหน้าที่ดังกล่าวหรือเสียความเป็นอิสระกับความเป็นกลางของคณะกรรมการ กสทช.

อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่มีผู้ออกมาให้ความเห็นอย่างมากน่าจะเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เรื่องการประมูลคลื่นความถี่โดยกฎหมายฉบับปัจจุบันกำหนดว่าการจัดสรรความถี่กระจายเสียง-โทรทัศน์สำหรับประกอบกิจการทางธุรกิจและความถี่โทรคมนาคมนั้น ให้ใช้วิธี “คัดเลือกด้วยการประมูล” แต่ในกฎหมายใหม่ใช้คำว่า “คัดเลือก” โดยตัดคำว่า “ประมูล” ทิ้งไป โดยจะให้คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้พิจารณาแผนบริหารคลื่นความถี่ว่าคลื่นใดเป็นคลื่นเพื่อความมั่นคงและบริการสาธารณะและคลื่นใดเพื่อบริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งคลื่นเพื่อบริการเชิงพาณิชย์นั้นจะเป็นอำนาจของกสทช.ในการจัดสรร โดยการจัดสรรนี้ร่างกฎหมายใหม่ระบุให้ใช้การ “คัดเลือก” ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นการประมูลก็ได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยในกรณีที่จะไม่ให้ประมูลคลื่นความถี่ แม้ว่าในต่างประเทศหลายประเทศนั้นจะใช้วิธีอื่นในการคัดเลือกเช่น ใช้วิธีการจัดสรรคลื่นความถี่แบบ Beauty Contest หรือวิธีการเปรียบเทียบข้อเสนอของผู้ประสงค์จะรับใบอนุญาต โดยตั้งราคากลางแล้วให้ผู้ประกอบการแข่งกันเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐและผู้บริโภคสูงสุดมาประกอบการพิจารณาให้ใบอนุญาตก็ตาม

ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ต้องประมูลก็ได้อ้างว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย ซึ่งเคยใช้การจัดสรรคลื่นความถี่โดยวิธีการประมูล ในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการจัดสรรแบบ Beauty Contest เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่เห็นด้วยกลับมองว่าวิธีการดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสมกับประเทศไทยเพราะอาจมีปัญหาด้านการทุจริตตามมาซึ่งต่างจากวิธีประมูลที่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน อีกทั้งภาครัฐยังนำเงินจากการประมูลไปใช้บริหารประเทศได้ นอกจากนั้นวิธีการคัดเลือกยังเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจว่าจะใช้วิธีการอื่นใดๆก็ได้ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการบางราย อันจะทำให้ประเทศเสียประโยชน์อย่างมหาศาลและคลื่นความถี่อาจตกไปอยู่ในมือผู้ที่ไม่ได้มีศักยภาพสูงสุด

เกี่ยวกับความคืบหน้าการจัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่นั้น หลังจากที่ คสช. ออกคำสั่งฉบับที่ 94/2557 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ให้ กสทช. ชะลอการประมูลคลื่น 4G ออกไป 1 ปี เพื่อแก้ไขกฎระเบียบทั้งหลายให้โปร่งใสและคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ขณะนี้ใกล้ครบกำหนดเวลาที่ขยายออกไปแล้ว ทาง กสทช. รวมไปถึงรัฐมนตรี ICT ได้ออกมาแจ้งความคืบหน้าดังกล่าวว่าการประมูล 4 จี บนคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ และ 900 เมกะเฮิรตซ์ จะเดินหน้าประมูลแน่นอน โดยหาก คสช. และคณะกรรมการด้านเตรียมความพร้อมดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเห็นชอบให้เดินหน้าประมูลได้ก่อนครบกำหนด กสทช.ก็จะใช้เวลาเตรียมการ 3-4 เดือน ในเรื่องนี้ยังมีข้อพึงพิจารณาว่าหากมีการจัดประมูล 4G ก่อนกลุ่มร่างกฎหมายดิจิทัลบังคับใช้ก็จะต้องใช้วิธีการประมูลตามกฎหมายปัจจุบัน แต่หากร่างกฎหมายฉบับใหม่ออกมาก่อนก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการได้ตามที่กล่าวข้างต้น

ทั้งนี้ผลการศึกษาของสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ITU) และธนาคารโลก (World Bank) บ่งชี้ว่าการเข้าถึงบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทุก 10% ของประชากร จะทำให้ระบบเศรษฐกิจโตขึ้น 1.38% ของจีดีพี ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเศรษฐกิจถึง 3.6% เพราะการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะทำให้ต้นทุนทางธุรกิจถูกลง ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร นั่นเป็นเพราะโลกกำลังเข้าสู่ยุค Internet of Things และ M to M (Machine to Machine) ให้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อ สั่งการกันได้เองโดยไม่ต้องผ่านคน ขณะที่บางประเทศกำลังทดลองระบบ 5G ส่วนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ก็จับมือกันแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เพื่อสร้าง “มาตรฐานร่วม 4G แห่งเอเชีย” ให้รับส่งข้อมูลได้ 100 เมกะบิตต่อวินาที ดังนั้นจะเป็นการดีสำหรับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่จะจัดให้มีการประมูลคลื่น 4G โดยเร็วเพื่อให้ก้าวทันประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เพราะในปัจจุบันความต้องการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงทั้งในด้านความรวดเร็วและคุณภาพของสัญญาณมีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยตอบสนองการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพสูง ดังนั้น ความช้าหรือเร็วในการเกิดขึ้นของบริการโทรคมนาคมบนเครือข่าย 4G จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

Source : http://telecomjournalthailand.com/

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนที่ 2)

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนที่ 2)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ในฉบับที่แล้วเราได้นำเสนอถึงรายละเอียดของร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัลบางฉบับเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการแก้ไขและร่างกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงของทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ในฉบับนี้เราจึงจะนำท่านผู้อ่านเจาะลึกกันต่อไปถึงร่างกฎหมายดิจิทัลฉบับอื่นที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามถึงผลดี ผลเสียหรือผลกระทบข้างเคียงของร่างกฎหมายเหล่านี้

ร่างชุดกฎหมายที่ถูกพูดถึงในสังคมไม่แพ้ร่างชุดกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ได้แก่ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการเศรษฐกิจดิจิตอล และร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยแต่ละฉบับมีรายละเอียดที่เป็นประเด็นสำคัญที่จะกล่าวพอเป็นสังเขปต่อไป

ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. … มีสาระสำคัญคือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจเป็นรองประธาน ส่วนกรรมการจะประกอบด้วยหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่วางนโยบายและทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลของประเทศ ซึ่งเป็นแผนระดับชาติว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิตอล โดยให้มีคณะกรรมการเฉพาะด้าน 5 ด้าน คือ 1.คณะกรรมการฮาร์ดอินฟราสตรัคเจอร์ 2.คณะกรรมการเซอร์วิสอินฟราสตรัคเจอร์ 3.คณะกรรมการซอฟต์อินฟราสตรัคเจอร์ 4.คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจ และ 5.คณะกรรมการดิจิตอลเพื่อสังคมและทรัพยากรความรู้

ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่…) พ.ศ. …จะกำหนดให้มีการจัดตั้งกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปลี่ยนชื่อมาจากกระทรวงไอซีที แบ่งเป็น 5 ส่วนราชการ คือ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเศรษฐกิจดิจิตอล กรมอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนชื่อกระทรวงเท่านั้นแต่จะมีการปรับเปลี่ยนทั้งระบบ โดยเริ่มต้นจากการปรับแก้กฎหมายเพื่อให้ครอบคลุมการทำงานให้เข้ากับยุคที่เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การบริการ ฯลฯ ถือเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานด้วย เช่น องค์การมหาชนคือสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ที่ต้องเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลภาครัฐทั้งหมดให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ที่ต้องควบคุมสนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงิน การออกกฎหมายข้อบังคับเพื่อแก้ไขการป้องกันการทุจริตทางคอมพิวเตอร์ เพื่อโลกดิจิตอลหนุนให้การค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) เติบโตขึ้น ความปลอดภัยและการสร้างความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งสององค์การมหาชนรวมกันเป็นสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ได้เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยตั้งขึ้นตามร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

นอกจากนี้แล้วยังมีหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่จัดตั้งขึ้นตามร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. …. เช่นคณะกรรมการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นใหม่ และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ ที่ตั้งใหม่เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยโอนจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA อีกด้วย

ส่วนร่างพระราชบัญญัติที่น่าสนใจและเป็นที่กล่าวถึงอีกฉบับหนึ่งคือร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยรายละเอียดกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้มีการปรับแก้อำนาจหน้าที่ของ กสทช. แต่หลักใหญ่ใจความยังเหมือนเดิมคือเน้นการจัดสรรและกำกับดูแลคลื่นความถี่เป็นหลัก โดยประเด็นที่ปรับแก้คือเพิ่มเรื่องว่าแผนแม่บทของ กสทช. จะต้องสอดคล้องกับ “นโยบายและแผนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ของคณะกรรมการดิจิทัลฯ แห่งชาติ และตัดหน้าที่ “ประสานงาน” การบริหารคลื่นความถี่ทั้งในและนอกประเทศ อีกทั้งเปลี่ยนบทบาท “วินิจฉัยและแก้ไขปัญหาคลื่นความถี่รบกวน” มาเป็นการ “ร่วมให้ข้อมูลกับรัฐบาล” แทน นอกจากนี้แล้วร่างกฎหมายฉบับใหม่ยังยกเลิกการแยกสองบอร์ดย่อยคือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) โดยกำหนดให้บอร์ดชุดใหญ่ (กสทช.) ทำหน้าที่แทนทั้งหมดโดยผู้เสนอร่างกฎหมายอาจเห็นว่าการรวมเพื่อให้มีบอร์ดใหญ่เพียงบอร์ดเดียวน่าจะช่วยให้การกำกับดูแลการสื่อสารในยุค convergence ทำได้ดีขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงการเก็บรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและการประมูล จากเดิมให้ส่งเข้ากองทุน กสทช. ทั้งหมด 100% เปลี่ยนเป็นให้ส่งเข้ากองทุนพัฒนาดิจิทัล 50% และอีก 50% ส่งเป็นรายได้แผ่นดินอีกด้วย

นอกจากนี้แล้วโครงสร้างอื่นๆก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการยกเลิกองค์กรเดิมแล้วตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาแทนที่โดยมีจุดประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ยกเลิก “กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ” แล้วตั้งเป็น “กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” แทน โดยมีรายละเอียดตามร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. …. ซึ่งกองทุนเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “อุดหนุน” ด้านการเข้าถึงบริการ และการพัฒนา-การวิจัย แต่กองทุนใหม่จะเพิ่มเรื่อง “การให้กู้ยืมเงิน” แก่ “หน่วยงานของรัฐและเอกชน” ในด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพิ่มมาด้วย

ในส่วนขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อทำหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยเฉพาะได้แก่ คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ) โดยโอนจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องที่เดิมอยู่กับ สพธอ. และจะเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลทั้งพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

เราจึงต้องมาดูกันต่อไปว่าโครงสร้างใหม่นี้จะเหมาะสมต่อภาคธุรกิจและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไรกับจะมีการแก้ไขในชั้น สนช. หรือไม่อย่างไร และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายในครั้งนี้จะส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลไปในทิศทางใด ซึ่งทุกภาคส่วนรวมทั้งผู้อ่านทุกท่านควรจะติดตามความคืบหน้าเพราะการออกร่างกลุ่มกฎหมายในครั้งนี้ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านที่เป็นประโยชน์ต่อเราทั้งในทางตรงและในทางอ้อมด้วย

Source : http://telecomjournalthailand.com/

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนที่ 1)

ร่างกลุ่มกฎหมายดิจิทัล (ตอนที่ 1)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ผู้อ่านหลายท่านคงได้ยินข่าวมาพอสมควรเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายเพื่อผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลทั้ง 10 ฉบับโดยหลังจากที่ร่างชุด กฎหมายดิจิทัล ทั้ง 10 ฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้วปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนที่จะบรรจุเข้าในระเบียบวาระการประชุมของ สนช. ต่อไปนั้นได้มีฝ่ายต่างๆออกมาแสดงความคิดเห็นโดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับกับไม่เห็นด้วย บทความนี้จึงจะได้กล่าวถึงประเด็นที่มีการแสดงความคิดเห็นกันเป็นตอนๆ ไป

เมื่อเรามาวิเคราะห์ กฎหมายดิจิทัล ใหม่ทั้ง 10 ฉบับแล้วจะแยกกฎหมายออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่เกี่ยวกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิตอล กลุ่มคุ้มครองความมั่นคงทางไซเบอร์และกลุ่มที่แก้ไขโครงสร้างของกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. โดยกฎหมายทั้ง 10 ฉบับประกอบด้วย 1) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญามากขึ้นรวมถึงการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ 2) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อลดปัญหาการกระทำความผิดทั้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ประชาชนทั่วไป ซึ่งต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น เพื่อกำหนดฐานกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในอนาคต 3) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อป้องกันปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งปัจจุบันมีการทำสงครามและโจมตีอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 4) ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองและบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่มีจำนวนมหาศาล โดยตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำหน้าที่คุ้มครองข้อมูลให้กับประชาชน 5) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก เนื่องจากธุรกิจปัจจุบันและอนาคตเริ่มเข้าสู่ยุคไร้พรมแดน จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชนเข้าไปช่วยดูแล 6) ร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการทำงานรูปแบบการสนับสนุน การให้ทุน ให้กู้ยืม แก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง 7) ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เนื่องจากกิจการวิทยุโทรทัศน์และการสื่อสารดาวเทียมได้มีการพัฒนามาก และยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิตอล ดังนั้น เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการการกระจาย กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักจัดสรรคลื่นความถี่ต้องปรับปรุงบทบาท ภารกิจ การกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล 8) ร่าง พ.ร.ฎ.จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เพื่อทำหน้าที่ผลักดันและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนดูแลการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 9) ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้มีคณะกรรมการที่กำกับดูแลด้านดิจิตอลโดยตรง และ 10) ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม เพื่อกำหนดให้มีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ครอบคลุมการทำงานในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ที่มีมิติของภารกิจและความรับผิดชอบเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม

ร่างกฏหมายที่ทำให้เกิดกระแสความคิดเห็นจากหลายๆฝ่ายที่มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้านที่เป็นประเด็นมากที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นร่างชุดกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ ฝ่ายที่เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวก็เน้นย้ำในจุดยืนที่ต้องการจะปูพื้นฐานโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลและป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ แต่ฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์มีเนื้อหาที่อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเช่น การให้อำนาจหน่วยงานและเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวาง ขาดกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐและกลไกคุ้มครองสิทธิที่ชัดเจน จนคุกคามหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพได้เช่น มาตรา 35(3) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารในทุกๆทางได้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และในประเด็นความห่วงใยเดียวกันนี้ยังมีมาตรา 10 ของร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่ได้ขยายอำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าถึงบัญชี คอมพิวเตอร์ และระบบ โดยไม่ต้องขออำนาจศาล อีกทั้งเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ดักจับข้อมูล ยึดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อุปกรณ์ ได้ทันทีหากสงสัยว่ามีการกระทำความผิดโดยไม่มีหมายศาลอีกด้วย

หากมาพิจารณาหลักการและเหตุผลของแต่ละฝ่ายโดยละเอียดก็อาจเห็นว่าเป็นการมองต่างมุมที่ให้ความสำคัญในเรื่องที่แตกต่างกันเช่น เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของฝ่ายที่เสนอร่างกฎหมายนี้คือการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเดิมให้สอดคล้องและทันสมัยรวมทั้งออกกฎหมายใหม่เพื่อมารองรับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะมีการพัฒนาเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลโดยเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีตและป้องกันปัญหาการใช้คอมพิวเตอร์ที่นับแต่จะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในอนาคต อันจะทำให้ความเสี่ยงในการกระทำความผิดย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย จึงต้องการให้มีการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อย่างจริงจังและสามารถหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ แต่เมื่อร่างกฎหมายฉบับข้างต้นออกมานั้น ฝ่ายที่คัดค้านกลับเห็นว่าไม่แน่ใจว่าเมื่อประกาศใช้จะเอื้อต่อการนำดิจิทัลมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจริงเหมือนที่ตั้งเป้าหมายไว้แต่ต้นหรือไม่ แต่กลับสกัดกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจเนื่องจากการออกกฎหมายส่อปิดกั้นและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั่วไป ทำให้เสี่ยงต่อการที่นักลงทุนต่างชาติจะหวั่นเกรงจนไม่กล้าเข้ามาลงทุนหรือลดระดับความสนใจการลงทุนในประเทศไทย

ในขณะนี้ยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์และยังไม่ได้บทสรุปกับเรื่องดังกล่าวเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลที่สนับสนุนความคิดเห็นของตน ท่านผู้อ่านคงต้องใช้วิจารณญาณในการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของเหตุผลทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือการออกกฎหมายใหม่นั้นจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์และแก้ไขปัญหาให้ถูกจุดหรือตรงประเด็นที่เคยเกิดปัญหาบ่อยๆกับไม่เป็นการเหวี่ยงแหครอบคลุมมากเกินไปเพราะการออกกฎหมายหนึ่งฉบับจะมีผลผูกพันระยะยาวและอาจไปกระทบกระเทือนสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนในส่วนอื่น จึงจะมองเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งหรือเพื่อแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งคงไม่ได้ รวมทั้งอาจจะควรมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะอย่างรอบด้าน เพื่อไม่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองโดยการปราศจาการถ่วงดุลหรือการคานอำนาจ หรือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่มากเกินไป อีกทั้งเพื่อจะได้เอื้อต่อการส่งเสริมและสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริงอีกด้วย

Source : http://telecomjournalthailand.com/

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ในฉบับนี้เราจะมานำเสนอเสนอในมุมของแผนยุทธศาสตร์ของรัฐรวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของเอกชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิตอลหรือ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบโดยแนวคิดหลักของนโยบายคือต้องนำดิจิตอลเข้าไปเสริมศักยภาพการทำงานของทุกกระทรวงที่มีดิจิตอลเข้าไปเกี่ยวข้องตลอดจนต้องนำไปเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาลนั้นที่มีอยู่หลักๆนั้น มีอยู่หลายประการ

ประการแรกได้แก่การเร่งยกร่างกฎหมายเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิตอล โดยแก้ไขกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ หรือหากเรื่องใดไม่มีกำหนดไว้ก็เตรียมจะยกร่าง เช่น การสร้างเครือข่ายข้อมูลสุขภาพของประชาชนระหว่างโรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านดิจิตอลจำนวนมากยังที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายด้านลายมือชื่อดิจิตอล กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย กฎหมายคอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเรายังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่จะต้องทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ประการที่สองคือการให้เอกชนลดค่าบริการอินเตอร์เน็ตลงแต่ในขณะเดียวกันต้องเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ตให้สูงขึ้น ซึ่งนโยบายนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากเอกชนซึ่งเป็นผู้ประกอบการเพื่อที่จะสามารถให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงบริการได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในราคาที่อยู่ภายใต้การควบคุม

ประการที่สามคือการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ กระทรวงไอซีทีที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนี้ยังมีโครงสร้างการแบ่งอำนาจที่ไม่ชัดเจน และรูปแบบการบริหารงานย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างและกำหนดหน้าที่การกำกับดูแลในแต่ละส่วนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแนวคิดในการเพิ่มกรมในกระทรวงเพื่อให้การทำงานของกระทรวงไอซีทีสอดรับในมิติการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยกรมที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วยกรมแรกคือกรมที่ดูแลเรื่องการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งต้องนำดิจิตอลช่วยอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงไอซีทีต้องดำเนินการ กรมที่สองคือกรมพัฒนาและส่งเสริมดิจิตอลเกี่ยวกับสังคม ทำให้ดิจิตอลเข้าไปมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาความยากจน และกรมที่เกี่ยวกับไซเบอร์คอนเทนต์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการใช้ไอทีอย่างชาญฉลาด ตลอดจนการควบคุมดูแลเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้จะมีการดึงบางหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาทิ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้ามาอยู่กับไอซีที รวมไปถึงบางหน่วยงานที่จะเป็นปัจจัยในการพัฒนาสู่นโยบายนี้ได้

ประการสุดท้ายคือการสร้างโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติเพื่อที่จะต้องมีบริการอินเตอร์เน็ตให้เข้าถึงทุกพื้นที่เพราะประเทศเรากำลังขนส่งข้อมูลจำนวนมากโดยสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จึงจำเป็นต้องมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ดีเชื่อมต่อกันทุกพื้นที่ที่จำเป็นต้องเข้าถึงทุกตำบลทุกหมู่บ้าน โดยรัฐมีแผนที่จะนำไฟเบอร์ออพติกมาใช้ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการขยายการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบ 4G รวมทั้งพัฒนาระบบ 3G ให้มีความเสถียรมากขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะถูกนำมาใช้และการเชื่อมต่ออย่างทั่วถึง

นอกจากการตอบรับนโยบายและวางแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีแล้ว กระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้เช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแลด้านการค้าที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นการค้าทางออนไลน์หรือบนโลกของอินเตอร์เน็ตเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอลนี้เป็นกุญแจสำคัญของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน จึงได้มีการวางรากฐานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอลให้เป็นไปได้อย่างจริงจัง 3 ประการ ได้แก่ การพัฒนาระบบดิจิตอลเพื่อรองรับการให้บริการอย่างครบวงจรเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับบริการและข้อมูล ข่าวสารจากกระทรวงฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลา ค่าใช้จ่ายและลดการใช้กระดาษ การส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ดิจิตอล ทั้งผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ อุปกรณ์สื่อสาร และโทรคมนาคมดิจิตอล ตลอดจนการใช้ดิจิตอลรองรับภาคการผลิตกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยใช้สื่อดิจิตอล ประการสุดท้ายได้แก่การส่งเสริมและผลักดันธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาผู้ประกอบการ ตลาดและศักยภาพของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร โดยได้มีการเปิดตัวโมบาย แอพพลิเคชั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่นักลงทุนและผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว อันจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยให้มีความพร้อมต่อการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อ-ผู้นำเข้าจากต่างประเทศสำหรับการติดต่อกับนักธุรกิจไทยด้วย

อีกองค์กรหนึ่งที่ตอบรับนโยบายดิจิตอลดังกล่าวคือกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยวางแผนนโยบายของกรมเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของธุรกิจเอสเอ็มอีในยุคดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการธุรกิจไอทีให้สามารถเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจได้ การนำไอทีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์ การส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้าโอทอปที่มีศักยภาพสามารถทำการตลาดด้วยสื่อดิจิตอลและสื่อออนไลน์ การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ดิจิตอล (Digital Knowledge Society) เพื่อให้ดำเนินธุรกิจกิจโดยใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิตอลผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน การพัฒนาที่ปรึกษาธุรกิจโลกไซเบอร์ (Cyber Service Provider) เป็นต้น

การเริ่มต้นในการสร้างและขับเคลื่อนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลดังกล่าวของประเทศไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแม้จะช้าไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญในการวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิตอลให้กับประเทศนั้น นอกจากจะอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิตอล ไอที และ ระบบสารสนเทศมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจแล้วควรจะรวมถึงการเปิดกว้างต่อความเปลี่ยนแปลง การให้โอกาสกับแนวคิดใหม่ๆ และการสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ที่เป็นของประเทศเราเองด้วย

By : http://telecomjournalthailand.com/

 

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital Economy)

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.57 ที่ผ่านมา นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้เข้าพบปะกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถึงแนวทางทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาต่างๆ เนื่องจากไอซีทีมองว่าต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของกระทรวงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการทำงานในหลายภาคส่วนมากขึ้น โดยจะมีการตั้งคณะร่วมกันระหว่างกระทรวงกับ กสทช. เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อาทิ การแก้กฎหมายที่ยังทับซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน อีกทั้งยังได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลหรือ “Digital Economy” ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในลักษณะการทำงานอย่างเดียวกันกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) ในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

หลายคนอาจสงสัยว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอลหรือ Digital Economy นั้นคืออะไร เศรษฐกิจเชิงดิจิตอล (Digital economy) หมายถึง การใช้ระบบเว็บเบสบนอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยคำนิยามของเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เป็นคำที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาใช้ โดยเน้นให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจยุคใหม่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีอย่างมากมาย ตั้งแต่ระบบการให้บริการออนไลน์ การซื้อขายสินค้าและบริการ การศึกษาแบบทางไกล การโอนย้ายสื่อแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ดิจิตอล การให้บริการห้องสมุดดิจิตอล ตลอดจนระบบการพิมพ์หรือการจัดทำ เอกสาร ล้วนแล้วแต่เป็นดิจิตอลหมด เรามีกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ทีวีดิจิตอล ของเล่นดิจิตอล ระบบทุกอย่างที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์จะใช้เทคโนโลยีดิจิตอลโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบปนอยู่ด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเชื่อมคนทุกคนในโลกให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน สามารถติดต่อสื่อสาร พูดคุยกันผ่านทางเครือข่ายนี้ เป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีเป็นสำคัญนั่นเอง ในส่วนของประเทศไทยนั้นจากการสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พบว่าปัจจุบันคนใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตเกือบ 1 ใน 3 ของวัน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 7 ชั่วโมง กิจกรรมการใช้งานหลักคือการติดต่อสื่อสารและความบันเทิงรวมถึงการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าสัดส่วนการใช้งานอาจไม่ได้สูงมาก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคว่ามีความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยตลาดอีคอมเมิร์ซปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอันเนื่องจากการพัฒนาของเครือข่ายโทรคมนาคมที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น และจะทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่กลายเป็นช่องทางหลักในการเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการในปัจจุบัน

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลนั้นมีแนวคิดมาจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกดิจิตอลที่ไร้พรมแดน ถือเป็นนโยบายใหม่ของประเทศไทยที่ออกมาเพื่อรองรับความก้าวหน้าทันสมัยของเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจะต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ในประเทศไทยที่จะต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือและควบรวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ดังนั้นเร็วนี้ๆ ทางกระทรวงไอซีทีจึงมีแผนปรับบทบาทการทำงานของกระทรวงครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนงานต่างๆตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อกระทรวงใหม่ด้วยเช่นกันเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ของกระทรวง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเปลี่ยนชื่อกระทรวงจากกระทรวงไอซีทีไปเป็นกระทรวงดิจิตอล ทั้งนี้กระทรวงไอซีทียังอยู่ระหว่างการทาบทามศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ซึ่งขณะนี้ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาอยู่ใต้สังกัดกระทรวงไอซีทีด้วย

ความร่วมมือกันของสองหน่วยงานนั้นเป็นเรื่องที่ได้วางแผนกันมานานแล้ว โดยสมัย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีที่จะแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคลื่นความถี่แห่งชาติ 3 ฉบับได้แก่ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551   เพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน

ระบบเศรษฐกิจดิจิตอลทำให้แนวโน้มของโลกเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปลี่ยนแนวคิดจากระบบรวมศูนย์มาเป็นแบบการกระจายให้บริการ เช่น การบริการของธนาคารผ่านเอทีเอ็ม การสร้างร้านค้ากระจายไปทุกหนทุกแห่ง โครงสร้างขององค์กรมีลักษณะติดต่อประสานรายได้สองทิศทาง ทั้งให้การจัดองค์กรมีขนาดกะทัดรัด และรูปแบบองค์กรจะแบนราบ หรือมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาน้อยลง แต่จะมีรูปแบบลักษณะเครือข่ายเพื่อการทำงานร่วมกัน การดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ จะตัดคนกลางหรือ กิจกรรมที่อยู่ตรงกลางออกไป ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ มีลักษณะจากปลายสู่ปลาย เช่น จากผู้ผลิตสู่ผู้ใช้โดยไม่ต้องมีคนกลาง ดังนั้นเศรษฐกิจดิจิตอลจึงเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องรีบปรับตัวและใช้ประโยชน์จากกลไกทางเทคโนโลยีให้ทัน ดังนั้นหากมีการผลักดันนโยบายเรื่องเศรษฐกิจดิจิตอลนี้ให้สำเร็จย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไกลให้ทันประเทศอื่นมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าประชาชนจะมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งเป็นการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

By http://telecomjournalthailand.com/

ลดค่าบริการ 3G

ลดค่าบริการ 3G

ลดค่าบริการ 3G

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

หลังจากปรากฏการณ์เปิดบริการ 3G บนคลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz อย่างเป็นทางการของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รายเมื่อวันที่ 7 – 8 – 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยก้าวไปอีกขั้นกับการมี 3G เพื่อติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการอย่างเช่นประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในการเปิดตัว 3G ของแต่ละค่ายนั้นต่างก็ชูจุดเด่นที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณภาพการให้บริการ ด้านการเป็นผู้ให้บริการที่มีแบนด์วิธกว้างที่สุดหรือแม้แต่การเปิดให้บริการ 3G พร้อมกับ 4G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz เป็นรายแรกของประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนผู้บริโภคคาดหวังในขณะเดียวกันก็คืออัตราค่าบริการที่ไม่สูง

สำหรับอัตราค่าบริการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเรียกเก็บจากผู้บริโภคในการให้บริการ 3G ได้นั้น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นไว้ในประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประมูล 3G ว่าผู้รับใบอนุญาตจะต้องกำหนดอัตราค่าบริการให้เป็นธรรม สมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคและต้องจัดให้มีบริการที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. ประกาศกำหนด ซึ่งในเวลาต่อมา กสทช. ได้ระบุไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตให้บริการ 3G กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องลดค่าบริการลงจากเดิมโดยเฉลี่ยอย่างน้อยร้อยละ 15 ของอัตราค่าบริการเฉลี่ยประเภทเสียง (Voice) และบริการที่ไม่ใช่เสียง (Non Voice) ที่มีการให้บริการในตลาด ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2555

ปรากฏว่าในช่วงเริ่มแรกของการเปิดให้บริการ 3G นั้นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงไม่ได้ปรับลดราคาลงตามที่ กสทช. กำหนด โดยจะเห็นได้จากรายการส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นที่ยังคงเป็นอัตราเดิม แต่ผู้ให้บริการได้ให้เหตุผลว่าได้เพิ่มสิทธิประโยชน์และความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล (Data) ให้มากกว่า 15 % แทนการลดราคาแล้ว ทำให้เกิดเสียงวิพากวิจารณ์จากฝ่ายผู้บริโภคและสื่อมวลชนอันนำมาซึ่งการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รายกับ กสทช. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ท้ายที่สุดได้ผลสรุปร่วมกันว่าผู้ประกอบการทุกรายจะลดราคาค่าบริการ 3G ลงร้อยละ 15 และจะไม่ใช้การเสนอสิทธิประโยชน์ภายใต้ราคาเดิมอีกต่อไปแล้ว โดยบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ AIS จะเริ่มปรับราคาการให้บริการ 3G ทุกรายการตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคมเป็นต้นไป บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือ TRUEMOVE จะเริ่มปรับอัตราค่าบริการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป ส่วนบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ในเครือ DTAC คาดว่าจะปรับราคาลดลงในเดือนมิถุนายนเช่นกัน ทั้งนี้การลดค่าบริการ 3G ของผู้ประกอบการทั้ง 3 รายนั้นจะครอบคลุมทั้งแพ็คเกจการให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิมและ 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ด้วย จึงนับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับประชาชนผู้ใช้บริการ

ส่วนการออกประกาศกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงสำหรับบริการ 3G นั้นน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 14-16 เดือนหลังจากการเปิดให้บริการ เนื่องจาก กสทช. ต้องเก็บข้อมูลต้นทุนค่าบริการภายหลังการเปิดให้บริการจริงก่อนจึงจะสามารถคำนวณและกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่าบริการอาจมีการปรับลดลงเร็วกว่าที่กำหนด เนื่องจากตัวแปรสำคัญประการหนึ่งในการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงนั้น คืออัตราค่าตอบแทนในการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม หรือ Interconnection Charge (IC) แต่หากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายสามารถเจรจาลดค่าเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างกันได้ให้มีอัตราที่ต่ำกว่าอัตราค่าเชื่อมต่อชั่วคราวที่ กสทช. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 ให้ใช้อยู่ในขณะนี้สำหรับ 3G ที่นาทีละ 45 สตางค์กับ 2G ซึ่งอัตราค่าเชื่อมต่ออยู่ที่นาทีละ 1.70 บาท จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่สุดท้ายแล้วอัตราค่าบริการ 3G อาจลดลงมากกว่า 15 % ด้วย

อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ยังไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะสามารถใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ได้ในทันที แต่หากลูกค้าที่ใช้บริการอยู่กับทั้ง 3 ค่ายนั้นต้องการรับบริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz ใหม่จะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 วิธีนี้ คือเลือกโอนย้ายบริการจากคลื่นความถี่ที่ใช้อยู่เดิมไปยังคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ด้วยเลขหมายเดิม หรือที่เรียกว่า “การย้ายค่ายเบอร์เดิม” ภายใต้บริการคงสิทธิเลขหมาย (Mobile Number Portability : MNP)

เนื่องจากบรรดาบริษัทผู้ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในปัจจุบันนั้นแม้จะเป็นบริษัทลูกของบรรดาบริษัทผู้ให้บริการรายเดิมแต่ก็ถือว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งหรืออีกนิติบุคคลหนึ่ง ดังนั้นหากผู้ใช้บริการต้องการนำเลขหมายเดิมไปใช้บนเครือข่าย 3G ก็ต้องทำเรื่องขอใช้บริการคงสิทธิเลขหมาย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. จึงได้มีมติให้ระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ขยายประสิทธิภาพให้สามารถรองรับบริการได้ถึง 40,000 เลขหมายต่อวันแล้ว นอกจากนี้ กสทช. ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกำหนดค่าธรรมเนียมในการย้ายค่ายเบอร์เดิมให้ลดลงจากเดิม 99 บาทต่อครั้ง เหลือ 39 บาทต่อครั้งเป็นเวลา 2 เดือนและยังจะให้ลดอีกในภายหลังเหลือเพียง 29 บาทต่อครั้ง อีกทั้งยังระบุเงื่อนไขการโอนย้ายเลขหมายผู้ใช้โทรศัพท์ระบบเติมเงินไปใช้บริการ 3G ว่าจะต้องมีการยืนยันตัวบุคคลโดยใช้ข้อมูลบัตรประชาชนทุกครั้งเพื่อเป็นมาตรการป้องปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย

สำหรับอีกวิธีหนึ่งในการใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz คือผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับ Sim Card ใหม่ที่สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีภายใต้เลขหมายใหม่นั่นเอง

ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ดาวโหลดเอกสาร