"TURN EXPERIENCE TO VICTORY"

ธุรกิจให้เช่าเสาโทรคมนาคม

ธุรกิจให้เช่าเสาโทรคมนาคม

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

หลายท่านอาจจะได้ยินคำว่า “TowerCo” กันบ้างในช่วงนี้อันสืบเนื่องมาจากข่าวที่ว่า TOT มีความคิดที่จะนำทรัพย์สินที่ตนครอบครองอยู่ออกใช้สร้างรายได้เพราะ TOT นั้นเป็นองค์กรที่มีทรัพย์สินในมืออยู่มากโดยเฉพาะคลื่นความถี่และ เสาโทรคมนาคม ผู้เขียนนั้นได้เคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาบ้างแล้วในฉบับก่อนๆ ในฉบับนี้เราจึงจะมาเจาะลึกถึงความเป็นมา รายละเอียดของการใช้โครงสร้างพื้นฐานหรือ เสาโทรคมนาคม ร่วมกันโดยเฉพาะธุรกิจให้เช่า เสาโทรคมนาคม หรือ TowerCo ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในขณะนี้

เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการแข่งขันในการให้บริการที่มีมากขึ้นอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ต้องมีการลงทุนในโครงข่ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากจึงทำให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมในหลายๆ ประเทศคิดถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน หรือที่เรียกว่า Infrastructure Sharing มากยิ่งขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทที่เป็นเจ้าของ เสาโทรคมนาคม ขึ้นมาเป็นการเฉพาะแล้วนำบรรดา เสาโทรคมนาคม นั้นออกให้เช่าซึ่งมักจะเรียกชื่อโดยย่อกันว่า “TowerCo” การให้เช่า เสาโทรคมนาคม นี้ได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง จากในหลายๆโมเดลธุรกิจจากทั่วโลก เราจะเห็นรายชื่อ TowerCo จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่ง TowerCo เหล่านี้ จะมีการติดตั้งเสาไว้แล้ว ผู้ประกอบการหรือโอเปอเรเตอร์เพียงแค่เข้าไปลงทะเบียนเช่าใช้เสาในบริเวณที่ตนเองต้องการ ซึ่งธุรกิจ TowerCo นั้น เปิดให้บริการเป็นออนไลน์แล้วในต่างประเทศ สำหรับการตั้งบริษัท TowerCo นั้น มีหลากหลายรูปแบบอาจเป็นโอเปอเรเตอร์ร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทใหม่ขึ้นมาทำ TowerCo โดยเฉพาะหรือแม้แต่รูปแบบที่โอเปอเรเตอร์ที่ได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่จะตั้งเสาเองก็มีเช่นเดียวกัน

หลักการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกันนี้เป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับแพร่หลายในประเทศต่างๆ ที่มีการพัฒนาทางด้านโทรคมนาคมแล้วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะพบว่ามีบริษัทที่ให้บริการเช่า เสาโทรคมนาคม สำหรับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนหลายราย เช่น The Mid-Atlantic Broadband Co-operative หรือ MBC ที่มีเสาครอบคลุมในเขตรัฐเวอร์จิเนีย MBC ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2000 ด้วยสาเหตุที่ต้องการลดปัญหาในช่วงที่เกิดวิกฤตทางสังคมและเศรษฐกิจอันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในขณะที่หลายๆ อุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงและผู้คนต่างสูญเสียงานที่ทำ แต่ MBC กลับเล็งเห็นถึงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ในชนบทของรัฐเวอร์จิเนียที่ยังไม่มีการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคมและอัตราค่าบริการที่มีราคาสูง อีกทั้งผู้ให้บริการที่มีอยู่นั้นไม่มีแผนที่จะขยายการเข้าถึงบรอดแบนด์ให้แพร่หลายในภูมิภาค ด้วยเหตุดังกล่าว MBC จึงได้สร้างเสาโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกับ fiber – backbone เพื่อที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับบรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายในการจัดหาทั้งเสียงและบริการบรอดแบนด์ลงไปยังพื้นที่ที่ยังขาดแคลน ปัจจุบัน MBC นับว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและยังคงมีเสาโทรคมนาคมให้เช่าอยู่ เช่นเดียวกับบริษัทให้เช่าเสาโทรคมนาคมจาก North Carolina ที่จากเดิมเป็นธุรกิจเล็กๆที่ตอนนี้ได้ขยายตัวไปครอบคลุมทั่วสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทยนั้น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ออกกฎหมายเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะช่วยส่งเสริมและพัฒนากิจการโทรคมนาคมให้ก้าวไปพร้อมกับการมี 3G บนคลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz จำนวนหลายฉบับ หนึ่งในนั้นก็คือประกาศเรื่องการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกันสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 หรือหลักการ Infrastructure Sharing นั่นเอง ทั้งนี้ในประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านโทรคมนาคมแล้ว การทำ Infrastructure Sharing ด้วย TowerCo เป็นสิ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกยกเว้นประเทศไทยเพราะถูกผูกขาดโดยสัญญาสัมปทาน แต่เมื่อสัญญาสัมปทานหมด สินทรัพย์โครงข่าย อาทิ เสาสัญญาณ หรือสายไฟเบอร์ต่างๆ จะตกเป็นของ ทีโอที และ กสท. ซึ่งจะนำไปสินทรัพย์ดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้นแทนที่ผู้ให้บริการคลื่นความถี่ต้องลงทุนอีกมหาศาล เพราะจะต้องสร้างเสาหรือ Tower เป็นของตนเองและการ Roll Out โครงข่ายจะเกิดขึ้นช้ามาก แต่ถ้ามี TowerCo อยู่แล้ว โอเปอเรเตอร์เพียงแค่นำอุปกรณ์ไปติดตั้งไว้บนเสา การ Roll Out Network จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบมีนัยสำคัญและต้นทุนจะลดต่ำลง 20-40%ได้หากมีการบริหารจัดการที่ดี ที่สำคัญกว่านั้นคือโอเปอเรเตอร์ไม่ต้องกังวลต่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแต่มุ่งเน้นในด้านความสามารถหลักของตัวเอง อาทิ การให้บริการ การทำแคมเปญการตลาด เป็นต้น อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลใจต่อการลงทุนด้านการบำรุงรักษาโครงข่ายอีกด้วย หากสามารถผลักดันให้ TowerCo เกิดขึ้นได้ ผลประโยชน์มากมายจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ อาทิ การลงทุนที่ไม่ซ้ำซ้อน สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีคุณค่า ธุรกิจจะเกิดการจัดสรรปันส่วนที่ชัดเจน เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมโดยไม่มีการผูกขาดส่วนใดส่วนหนึ่งและทุกคนต้องได้รับประโยชน์ทั่วถึง นอกจากนี้เมื่อมีการลงทุนน้อยผู้บริโภคย่อมจะได้รับบริการในราคาที่เป็นธรรมด้วย

นอกจากนี้ด้วยข้อด้อยของคลื่นความถี่ 2.1GHz ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมแคบ จึงทำให้ต้องมีการสร้างเสาและลงทุนมากซึ่งเสาแต่ละต้นมูลค่าในการลงทุนอยู่ประมาณ 3-4 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างและค่าที่ดินด้วย ถ้าจะต้องวางให้ครอบคลุมทั่วประเทศจำเป็นต้องใช้เป็นหมื่นเสา คิดเป็นงบประมาณลงทุนถึง 3-4 หมื่นล้านบาทเฉพาะการลงทุนตั้งเสาเท่านั้น ดังนั้นหากมี TowerCo ใน 1 เสา ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ในระหว่างหลายโอเปอเรเตอร์ หมดปัญหาข้อขัดแย้งกันในเรื่องพื้นที่ตั้งเสาเพราะมีบริษัทที่ทำ TowerCo บริหารจัดการให้ เพียงแค่โอเปอเรเตอร์ระบุว่า ต้องการพื้นที่ครอบคลุมจุดใด บริเวณใดเท่านั้น

ถึงแม้ว่าหลักการข้างต้นจะมีข้อดีอยู่มากมายในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามการจัดตั้ง TowerCo ตามแนวคิดที่ TOT กำลังจะดำเนินการนั้นอาจติดขัดด้วยปัญหาก็ได้ในทางปฏิบัติหรือไม่เพราะการให้แต่ละโอปอเรเตอร์เข้ามาร่วมมือด้วยการใช้ร่วมกันนั้นอาจเกิดขึ้นไม่ง่ายนัก ทั้งนี้เพราะโครงข่ายเช่นเสาที่แต่ละโอปอเรเตอร์ลงทุนไปนั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวและเป็นความมั่นคงภายในของบริษัทนั้นๆจึงมีแนวโน้มที่แต่ละบริษัทจะลงทุนตั้งเสาของตนเอง อีกทั้งยังเลือกในพื้นที่ลงทุนซึ่งมีลูกค้าและมองเห็นกำไรที่คุ้มค่า ที่สำคัญคือองค์กรเหล่านั้นอาจมองว่าหากนำสินทรัพย์ที่มีมาแบ่งให้คนอื่นเช่าใช้แล้วความมั่นคงอาจจะสูญเสียได้ การจะส่งเสริมให้มีการสร้างโครงข่ายพื้นฐานร่วมกันเช่น เสาโทรคมนาคม จึงอาจไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีนักก็ได้เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายต่างก็คิดจะสร้างโครงข่ายเฉพาะของตนเองเท่านั้นเพราะไม่ได้มีกฎหมายออกมาห้ามแต่อย่างใด

Source : http://telecomjournalthailand.com/

 

 

 

อำนาจเรียกคืนคลื่นความถี่

อำนาจเรียกคืนคลื่นความถี่

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

หลักการคืนคลื่นความถี่นั้นคือการที่คลื่นความถี่มีจำกัดมากในขณะที่บางรายถือครองคลื่นแล้วไม่ได้ใช้จึงต้องมีการนำมาใช้ใหม่กันเยอะขึ้นอย่างทั่วถึง การ Re-farming หรือจัดสรรใหม่เป็นวิธีหนึ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลหรือ Regulator ในหลายประเทศใช้ในการบริหารคลื่นความถี่ของชาติ ตัวอย่างกรณีที่ชัดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในต่างประเทศคือ สหรัฐอเมริกาได้ทำเรียกคืนคลื่น 500 MHz สำหรับ Wireless Broadband หรือกรณีของภาคเอกชนคือบริษัท Sprint ซึ่งถือครองคลื่นช่วงกว้าง 35MHz สำหรับ Broadcast Auxiliary Service (BAS) หรือการส่งคลื่นกันเองระหว่างสถานีวิทยุ/ทีวี ซึ่งทาง Sprint ได้มีแผนยกเลิก BAS ตั้งแต่ปี 2005 โดยใช้วิธีการส่งข้อมูลแบบอื่น เพื่อยอมให้เอาคลื่น 35 MHz ไปทำ Wireless Broadband เป็นต้น

ประมูลคลื่นใดใช้ 4G?

ประมูลคลื่นใดใช้ 4G?

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เทคโนโลยีทางการสื่อสารและโทรคมนาคมมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญเทียบเท่ากับระดับการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารนั่นก็คือ คลื่นความถี่ที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้ในกิจการโทรคมนาคม แม้ประเทศไทยจะเริ่มใช้เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมแบบ 3G มาได้ไม่นาน แต่คนไทยก็อาจได้ใช้เทคโนโลยีที่มีพัฒนาการและประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก ที่เรียกกันว่าเทคโนโลยีรุ่นที่ 4 หรือ 4G Long Term Evolution (LTE) อย่างเต็มรูปแบบและเนื่องจากปีนี้จะมีการ ประมูลคลื่น ความถี่ซึ่งผู้ที่ประมูลได้สามารถนำเทคโนโลยี 4G มาใช้ได้ บทความฉบับนี้จะได้มาติดตามความคืบหน้าว่าจะมีการ ประมูลคลื่น ความถี่ในย่านใด ซึ่งเป็นหัวข้อที่มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางและเป็นข่าวใหญ่อยู่ในช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2558 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2558 ซึ่งมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานว่า คณะกรรมการอนุมัติแผนงานให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เริ่มต้นประมูล 4 จีทันที หลังจาก คสช. ได้มีประกาศเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ให้ชะลอการประมูลออกไป 1 ปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม หรืออีก 5 เดือน โดยการประมูล 4จีจะให้ กสทช. จัดสรรคลื่นความถี่ที่เหมาะสมและให้ประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้บริการ ไม่จำเป็นต้องยึดกับคลื่นความถี่ 900 หรือ 1,800 เท่านั้น ส่วนรูปแบบประมูลยังเป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ซึ่งต้องนำมารายงานคณะรัฐมนตรีทุกเดือนหลังจากนี้ จึงให้ กสทช. พิจารณาว่ามีคลื่นไหนที่จะนำมาประมูลได้บ้าง ซึ่ง กสทช.สามารถนำคลื่นตั้งแต่ 900 MHz-2600 MHz มาจัดประมูลได้ทั้งหมดตามความเหมาะสม ซึ่งที่ประชุม กสทช.มีมติให้นำคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ซึ่งอยู่ในความครอบครองของบริษัท DPC ซึ่งจะหมดสัมปทานในเดือนกันยายนนี้ออกประมูล 4G ด้วย โดยราคาเริ่มต้นการประมูลจะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาทต่อใบอนุญาต แต่ต้องให้สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ที่ได้ว่าจ้างดำเนินการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่อีกครั้ง ขณะที่คลื่นความถี่ 1800 MHz ที่เดิมอยู่ในความครองครองของบริษัท ทรูมูฟ ซึ่งหมดสัญญาสัมปทานกับ CAT แล้วนั้น กสทช.เตรียมประมูลไว้แล้ว โดยจะประมูลใบอนุญาต 2 ใบ ราคาเริ่มต้นที่ 11,600 ล้านบาท

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการฯยังได้มีการเสนอให้ ประมูลคลื่น ย่านความถี่ 2600 MHz เนื่องจากมีแบนด์วิธที่มากกว่าคือ 120 MHz ขณะที่คลื่น 1800 MHz มีเพียง 25 MHz ส่วนคลื่น 900 MHz มีเพียง 20 MHz เท่านั้น แต่เนื่องจากปัจจุบันคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz อยู่ในการครอบครองของ อสมท จำกัด (มหาชน) จึงอาจมีปัญหาเรื่องการขอคืนคลื่นดังกล่าว รวมไปถึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้ทาง อสมท. ด้วย เช่นเดียวกับการเสนอให้ ประมูลคลื่น ความถี่ย่าน 2300 MHz อันอยู่ในความครอบครองของ TOT อยู่ในปัจจุบันที่อาจเกิดปัญหาเดียวกัน ซึ่งการเรียกคืนความถี่ย่านดังกล่าวอาจต้องใช้วิธีการทางศาลซึ่งใช้ระยะเวลานาน ทาง กสทช. จึงมีความเห็นว่าอาจจะไม่สามารถเตรียมการ ประมูลคลื่น อื่นนอกจากคลื่น 900 MHz และคลื่น 1800 MHz ได้เนื่องจากไม่ได้อยู่ในแผนงานมาก่อน

ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่าการใช้คลื่นความถี่ 2600 MHz นั้นจะช่วยรองรับการใช้งานของผู้ใช้บริการที่มีมากขึ้นเพราะต่อไปมีจำนวนผู้ใช้ Data มากขึ้นเรื่อยๆ ความถี่ 1800 MHz และ 900 MHz ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน เพราะทั้ง 2 ย่านรวมกันมีแบนด์วิธ 45 MHz เท่านั้น ความถี่ย่าน 2600 MHz มีแบนด์วิธที่ว่างอยู่ และ อสมท. ไม่ได้ใช้งาน และมีแบนด์วิธมากถึง 128 MHz ดังนั้น จึงเป็นความถี่ที่เหมาะสม และเพียงพอสำหรับการเดินตามนโยบาย Digital Economy ของประเทศ แต่ฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่าคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz อาจไม่เหมาะกับการเอามาประมูลทำบริการมือถือ 4G เพราะความถี่ย่านนี้ใช้งานด้านรับส่งข้อมูลเป็นหลักและมีประสิทธิภาพการใช้งานด้านเสียงต่ำ นอกจากนี้อุปกรณ์เครื่องที่รองรับได้มีน้อยกว่าคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz จึงมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้พิจารณาแล้วพบว่า “การทำสัญญาสัมปทานของ อสมท บนคลื่นความถี่ย่าน 2600 เกิดขึ้น ในปี 2554 หลังจากที่มี พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 การจัดสรรคลื่นความถี่ต้องเป็นระบบใบอนุญาตโดย กสทช.เท่านั้น การกระทำของ อสมท. จึงขัดต่อกฎหมาย แต่ อสมท. ก็ใช้สิทธิยื่นข้อโต้แย้งมาที่ กสท. ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานร่วมระหว่าง กสท.และ กทค.คาดจะรู้ผลใน 1-2 เดือน” นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. กล่าวในประเด็นนี้

สำหรับคุณสมบัติของแอลทีอี (LTE) หรือ 4G นั้นจะมีความเร็วมากกว่ายุค 3G ถึง 10 เท่า โดยมีความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลอย่างน้อย 100 Mbps และมีความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps ซึ่งในยุค 4G นี้ถือว่าเป็นยุคที่ถูกพัฒนาก้าวมาอีกขั้น ตอบสนองการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สายดีขึ้น สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม และสามารถใช้โปรแกรมมัลติมีเดียได้อย่างเต็มที่ เช่น การสนทนาผ่านโปรแกรมต่างๆ ในระดับความคมชัดสูง โหลดหนัง ฟังเพลง ได้โดยไม่สะดุด และยังสามารถอัปโหลด-ดาวน์โหลดข้อมูลที่มีขนาดไฟล์ใหญ่โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน โดย 4G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ช่วยสนับสนุนให้นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จะเกิดการซื้อขายในรูปแบบใหม่ทางอินเตอร์เน็ต ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้จีดีพีของประเทศไทยเติบโต ทั้งยังสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ รวมถึงการรองรับข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

ในส่วนภาครัฐสิ่งที่ได้จากการประมูล 4G คือเงินรายได้ที่จะนำไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค ทำให้เกิดการพัฒนายกระดับคุณภาพมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานเทียบเท่าระดับสากล เกิดการจ้างงาน ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ หากโชคดีกว่านั้น ไทยจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และการมีโอกาสในเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง (Access) เชื่อมต่อ (Connectivity) และทำให้การบริการหรือข้อมูลเป็นระบบดิจิทัล (Digitization) กระตุ้นให้ระบบนิเวศด้านนวัตกรรมมีพลวัตเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย

ในเรื่องของการจัด ประมูลคลื่น ความถี่ดังกล่าว ประเด็นที่ควรคำนึงถึงคือการกำหนดราคาขั้นต่ำการประมูลใบอนุญาตที่เป็นสิ่งสำคัญเพราะการตั้งราคาที่เหมาะสมย่อมจะก่อให้เกิดผลดีกับรัฐเองและย่อมส่งผลดีมาถึงประชาชนด้วย จึงควรมีการตั้งราคาขั้นต่ำการประมูลที่เหมาะสมโดยไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป โดยมีผู้เสนอความเห็นในประเด็นนี้หลายราย เช่นบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ซึ่งประสงค์จะเข้าร่วมประมูลด้วยและเตรียมเสนอกรอบการประมูลในส่วนของ CAT เองต่อคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดย CAT มองว่าการประมูล 4G นั้น ใบอนุญาตควรเริ่มต้นที่ใบละ 5,000 ล้านบาท เพราะยิ่งราคาแพงผลกระทบก็จะตกกับผู้บริโภคเนื่องจากราคาใบอนุญาตก็คือต้นทุนขาหนึ่งที่ต้องรวมไปกับการให้บริการและคิดค่าบริการในอนาคต นอกจากนี้ควรต้องกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับเพดานค่าบริการ เพื่อเป็นหลักประกันขั้นต่ำว่าไม่ว่าเอกชนรายใดที่จะเข้ามาประมูล จะต้องทำให้ผู้บริโภคได้ใช้บริการที่มีราคาถูกและมีคุณภาพดีตั้งแต่ก่อนจะประมูล นอกจากนี้สมควรที่จะวางมาตรการกำหนดเพดานการถือครองคลื่นความถี่ทั้งหมดของผู้ประกอบการแต่ละรายโดยอาจจะตรวจสอบสถานะของผู้เข้าร่วมประมูลและเปิดโอกาสให้บริษัทหน้าใหม่เข้าร่วม เพื่อป้องกันการผูกขาดและลดการกักตุนหรือถือครองคลื่นความถี่โดยไม่ได้ใช้งานให้เป็นประโยชน์ อีกทั้งสร้างความโปร่งใสให้กับการประมูลและมีตัวเลือกสำหรับผู้ใช้บริการมากขึ้นด้วย

Source : http://telecomjournalthailand.com/

ค่าโทร ใน-นอกเครือข่ายต่างกัน??

ค่าโทร ใน-นอกเครือข่ายต่างกัน??

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

ผู้อ่านหลายท่านอาจจะไม่ได้สังเกตว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างออกแพคเกจ ค่าโทร ในเครือข่ายเดียวกันถูกกว่าโทรนอกเครือข่าย ขณะที่ผู้ใช้บริการก็มักจะไม่ทราบว่าบรรดาเลขหมายที่โทรออกไปนั้นอยู่ภายในหรือนอกเครือข่าย บทความฉบับนี้จะได้วิเคราะห์ข้อกฎหมายกันว่า ค่าโทร ในเครือข่ายกับโทรนอกเครือข่ายนั้นจะต่างกันได้หรือไม่

การที่บรรดาค่ายโทรศัพท์มือถือกำหนดให้เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจาก ในการโทรข้ามโครงข่ายนั้นจะมีอัตราค่าเชื่อมต่อข้ามโครงข่ายหรือ Interconnection Charge หรือ ค่า IC ซึ่งเป็นการคิดค่าเชื่อมต่อโครงข่ายเพื่อให้โครงข่ายฝ่ายรับได้รับผลประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารในครั้งนั้นด้วย โดยทางโครงข่ายต้นทางจะเป็นผู้จ่ายค่า IC ให้กับโครงข่ายฝ่ายรับ ซึ่งจะส่งผลในทางอ้อมกับผู้ใช้บริการโครงข่ายเพราะต้นทุนค่าติดต่อสื่อสารจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ค่าใช้บริการอาจจะต้องเพิ่มตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีประกาศ กทช. (ซึ่งก็คือ กสทช. ในปัจจุบัน) กำหนดให้ผู้ประกอบการคิดค่าบริการโทรใน-นอกเครือข่ายราคาเดียว โดยสาระหลักของคำสั่งดังกล่าวที่มีการออกในยุคของ กทช. ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 คือ ห้ามผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมดำเนินการจัดทำรายการส่งเสริมการขายในลักษณะที่มีการเรียกเก็บค่าใช้บริการโทรคมนาคมจากผู้ใช้บริการของตนในอัตราที่แตกต่างกันสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในโครงข่าย (On-net) และการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างโครงข่าย (Off-net) โดยหากพบว่าผู้ประกอบกิจการรายใดฝ่าฝืน ให้สำนักงาน กสทช. กำหนดมาตรการบังคับทางปกครอง เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัดต่อไป

ประกาศดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการโครงข่ายโทรศัพท์หลายรายเช่น บริษัท ดิจิตอล โฟน จำกัด ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2555 ขอให้เพิกถอนคำสั่งของ กสทช. ที่ห้ามเรียกเก็บเงินค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมจากผู้ใช้บริการในอัตราที่แตกต่างกันสำหรับบริการโทรคมนาคมลักษณะหรือประเภทเดียวกันดังกล่าวข้างต้น โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้นศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลว่าคำสั่ง กสทช. กรณีดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะเหตุว่าการที่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเรียกเก็บค่าบริการโทรคมนาคมในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในโครงข่าย (On-net) กับการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างโครงข่าย (Off-net) เป็นการขัดต่อมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และข้อ 17 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการและการเรียกเก็บเงินล่วงหน้าในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 19/2553 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 เรื่อง ห้ามเก็บค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมจากผู้ใช้บริการในอัตราที่แตกต่างกันสำหรับบริการโทรคมนาคมลักษณะหรือประเภทเดียวกัน โดยข้ออ้างอื่นๆ ที่บริษัทดิจิตอลบรรยายในฟ้องนั้น ศาลเห็นว่าไม่อาจรับฟังได้

ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการยื่นอุทธรณ์ให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณา ในชั้นนี้จึงถือว่าคดีความยังไม่สิ้นสุด แต่ผลของคำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลว่าคำสั่งของ กทช. ดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้อยู่ และผู้ประกอบกิจการต้องอยู่ใต้บังคับ

นอกจากคดีความของบริษัทดังกล่าวข้างต้นที่ศาลปกครองได้ยกฟ้องไปแล้ว บริษัทผู้ประกอบการรายอื่นๆเช่น บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ก็ได้ยื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนประกาศดังกล่าวเช่นกัน โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำพิพากษายกฟ้องดังเช่นคดีก่อนหน้านี้ โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวของ กทช. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนประเด็นผลกระทบ และความเสียหายต่างๆ จากการออกคำสั่งตามที่ผู้ฟ้องกล่าวอ้างนั้นไม่อาจรับฟังได้ โดยศาลชี้ชัดว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในการประกอบกิจการ แต่ตรงกันข้ามกลับถือเป็นการสนับสนุนให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ต่อหลักการกำกับดูแลค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นบริการสาธารณะ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน และผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมในการแข่งขันและเข้าถึงบริการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพมากที่สุด

การที่ศาลปกครองกลางเห็นว่าคำสั่งของ กทช. หรือ กสทช. ฉบับดังกล่าวจะเป็นการสนับสนุนให้มีการแข่งขันโดยเสรีและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นก็อาจเป็นเพราะเมื่อผู้ประกอบการรายใดสามารถทำได้โดยอาจยอมมีกำไรที่ลดลงเพราะต้องทำให้ค่าบริการนอกโครงข่ายเท่ากับค่าบริการในโครงข่าย ย่อมได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการและมีผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้แสดงความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางว่าคำสั่งดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภคในเรื่องของการมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารได้อย่างทั่วถึงโดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นการใช้บริการโทรศัพท์มือถือในโครงข่ายโทรคมนาคมเดียวกันหรือต่างกัน และไม่ก่อให้เกิดข้อจำกัดหรือภาระที่ต้องคอยตรวจสอบว่าเลขหมายปลายทางนั้นเป็นเลขหมายที่อยู่ในโครงข่ายโทรคมนาคมเดียวกันหรือไม่เพราะไม่ว่าจะโทรในโครงข่ายเดียวกันหรือต่างกันก็ไม่มีผลต่ออัตราค่าบริการก็ตาม แต่หากเรามาวิเคราะห์ถึงผลจากการปรับค่าบริการให้เท่ากันทั้งใน-นอกเครือข่ายดังกล่าวแล้วจะพบว่าคำสั่งดังกล่าวอาจจะส่งผลให้ค่าบริการเฉลี่ยทั้งการโทรภายในเครือข่ายและนอกเครือข่ายนั้นสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเพราะผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องปรับลดราคาค่าบริการโทรนอกเครือข่ายให้ลดลงเท่ากับค่าบริการโทรในเครือข่าย ทำให้ค่าบริการโดยรวมสูงขึ้น ผู้ใช้บริการจึงอาจจะต้องจ่ายค่าบริการในเครือข่ายที่สูงเกินควร ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวอาจทำได้โดยการลดค่า IC ลงเพราะหากอัตราค่าไอซียังคงเดิม เมื่อมีการปรับกติกาให้คิดอัตราค่าบริการโทรใน-นอกเครือข่ายเป็นอัตราเดียว การกำหนดราคา ค่าโทร ภายในเครือข่ายต่ำๆ ก็จะทำไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องเป็นการกำหนดอัตรา ค่าโทร แบบเฉลี่ยระหว่างการโทรข้ามเครือข่ายกับภายในเครือข่าย

สำหรับการคิดค่า IC ในประเทศไทย กทช. ได้กำหนดให้ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้หรือเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมให้เป็นไปตามที่คู่กรณีเจรจาตกลงซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ทั้ง 3 ราย ได้ใช้รูปแบบ CNPN (ให้คนโทรออกเป็นคนจ่าย) โดยกำหนดอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายในส่วนการรับสายเรียกเข้าในอัตราประมาณ 45 สตางค์ต่อนาที อันเป็นผลมาจากการปรับลดค่า IC ลงของ กสทช. และการประกาศใช้อัตราขั้นสูงค่าบริการโทรศัพท์มือถือห้ามเกินนาทีละ 99 สตางค์ ซึ่งทำให้ค่า IC หรือค่าเชื่อมโยงโครงข่ายนั้นมีอัตราถูกลง แสดงให้เห็นว่าค่า IC นั้นมีผลต่อค่าบริการมือถือโดยรวม ซึ่งหากในอนาคตมีการปรับแก้ไขปัญหาดังกล่าวย่อมจะส่งผลให้ค่าบริการโทรศัพท์ถูกลงมากขึ้นอันจะส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการในประเทศไทยต่อไป

Source : http://telecomjournalthailand.com/

เช็คก่อนแชร์!

เช็คก่อนแชร์!

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เมื่อไม่กี่วันมานี้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ออกมากล่าวถึงผลการสำรวจสถิติของไอซีที ที่พบว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ใช้แอพพลิเคชั่น“ไลน์” ประมาณ 33 ล้านคน โดยมีการส่งข้อความวันละเกือบ 40 ล้านข้อความ และได้แจ้งว่ากระทรวงไอซีทีสามารถสอดส่องตรวจดูได้หมดว่ามีการส่งต่อข้อความประเภทไหนบ้างในแอพพลิเคชั่น“ไลน์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความหมิ่นประมาท ข้อความหมิ่นสถาบันและข้อความที่มีผลกระทบด้านความมั่นคงซึ่งจะถูกจับตาเป็นพิเศษ ต่อมาทางด้านบริษัท LINE ประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า LINE ยืนยันว่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ได้ซึ่งถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล และในทางสากลก็มีกฎหมายละเมิดสิทธิของผู้ใช้ LINE คุ้มครองอยู่ หากทางการไทยประสานมาที่ LINE ประเทศไทยเพื่อจะขอข้อมูลผู้ใช้ก็จะต้องมีหมายศาลมาที่ทาง LINE และติดต่อไปที่ LINE ประเทศญี่ปุ่นหรือบริษัทแม่ก่อน แต่ยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทแม่ด้วยว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ได้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทต่างชาติ การที่จะขอข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้จึงจะมีหลายขั้นตอนในการติดต่อระหว่างประเทศ อีกทั้งนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ทางไลน์แจ้งไว้กับผู้ใช้ก็ระบุชัดเจนว่าจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆของผู้ใช้หากไม่ได้รับความยินยอมอีกด้วย

ข้อกล่าวอ้างขอทางไลน์ในประเด็นข้อมูลส่วนตัวนั้นก็ถูกต้องอยู่และมีกฎหมายไทยรองรับว่า ผู้ใช้บริการย่อมได้รับความคุ้มครองในสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เคยมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในมาตรา 35 ซึ่งบัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ ส่วนตัว จะกระทำมิได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

จากกรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแง่มุมในการใช้เครื่องมือเพื่อสื่อสารในโลกออนไลน์ทั้งสองด้านได้เป็นอย่างดี กล่าวคือทางผู้ที่ตรวจสอบควบคุมไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายก็จะต้องคอยติดตามและหาหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดเพราะปัจจุบันแต่ละวันมีการส่งข้อความประเภทนี้จำนวนมากเช่นกัน ส่วนที่ไลน์ประเทศไทยออกมากล่าวเช่นนั้นก็น่าจะเป็นเพราะว่าตามหลักสากลแล้วในสังคมเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน (As a Right of the Person) โดยการกำกับดูแลสิทธิส่วนบุคคลเป็นเครื่องมือในการคุ้มครองความเสี่ยงประเภทต่างๆ ในระบบการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถให้ความมั่นใจเกี่ยวกับความปลอดภัย การรักษาข้อมูล หลักในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทางบริษัทไลน์ย่อมยึดถือเรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญในการให้บริการ

อย่างไรก็ตามไม่ว่าการขอตรวจสอบข้อมูลจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมดูแลดังกล่าวจะสามารถทำได้หรือไม่ ผู้ใช้บริการพึงระมัดระวังในการที่จะส่งต่อข้อมูล Social Media ใดๆทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เรื่องราวจาก Facebook  หรือแม้กระทั่งการส่งข้อความต่อกันทางไลน์โดยควรจะตรวจสอบก่อนว่าเรื่องดังกล่าวนั้นมีแหล่งที่มาจากไหนและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด เพราะการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จและก่อให้เกิดความเสียหาย หลอกลวง ปล่อยข่าวลือให้เกิดความตื่นตระหนกต่อสาธารณะ หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นมาเผยแพร่จนทำให้เกิดความเสียหาย อาจมีความผิดตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ที่ห้ามนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือประชาชน ข้อมูลอันเป็นเท็จที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือทำให้เกิดความตื่นตระหนกกับประชาชน ข้อมูลที่ผิดกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงและการก่อการร้าย และข้อมูลที่เป็นเรื่องลามกอนาจาร โดยจะมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงมาตรา 16 ซึ่งเป็นความผิดอันเนื่องมาจากการนำภาพของผู้อื่นมาตัดแต่งต่อเติมแล้วเผยแพร่ในลักษณะที่ทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย อับอาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง มีโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังอาจมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย ทำให้ผู้ที่เผยแพร่นั้นโดนฟ้องเป็นคดีอาญาได้ ขณะที่สื่อมวลชนซึ่งทำการเผยแพร่ต่อไปก็ดีหรือผู้ที่ส่งต่อข้อมูลที่เข้าข่ายความผิดข้างต้นก็ดี ถือว่ามีความผิดด้วยและมีโทษเท่ากับตัวการผู้ผลิตข้อมูลดังกล่าว เนื่องจากการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความผิดข้างต้นก็มีความผิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากใครได้รับการส่งต่อข้อความประเภทนี้ สามารถนำข้อความนั้นไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อให้กระทรวงไอซีทีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ในการไปตรวจสอบหาต้นตอที่ส่งมาได้  ส่วนกรณีที่หากมีการจับกุมแล้วผู้ต้องสงสัยอ้างว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” นั้นอาจจะฟังได้ยากเพราะตามกฎหมายแล้วถือว่าเป็นคนที่สมรู้ร่วมคิด ดังนั้นทางที่ดีทุกคนไม่ควรส่งต่อข้อความที่สุ่มเสี่ยงและอาจจะเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าวหรือข้อความที่มีลักษณะพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่อาจทำให้ได้รับความเสียหายได้

นอกจากการส่งต่อหรือเผยแพร่ข้อความที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายข้างต้นแล้ว ด้วยในยุคสมัยที่ข้อมูลต่างๆถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายผ่านทางสื่อออนไลน์ ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือการใช้ “สื่อสังคมออนไลน์” (Social Media) เพื่อจุดกระแสบางอย่างในสังคม หากแต่มิได้ทำอย่างตรงไปตรงมาจนหลายครั้งทำให้ผู้รับสื่อเกิดความสับสน ไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อหลักทั้งไทยและต่างประเทศ ที่นำไปขยายความต่อโดยอาจจะไม่ได้ตรวจสอบต้นตอหรือจุดประสงค์ให้ดีเสียก่อน ซึ่งเมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วอาจเกิดความเข้าใจผิดๆได้ โดยที่เห็นกันบ่อยๆเช่นกลยุทธ์การโฆษณาแบบ “ไวรัลมาร์เก็ตติ้ง” (Viral Marketing) หรือการสร้างกระแสขึ้นมาสักอย่างหนึ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่เมื่อผู้รับสื่อเห็นแล้วก็จะนำไปบอกต่อกับคนอื่นๆโดยไม่ว่าจะบอกต่อในแง่ใดก็ตาม การใช้กลยุทธ์โฆษณาแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้งนี้ในหลายกรณีแม้จะไม่ผิดในแง่กฎหมาย แต่ก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและการนำเสนอที่ชวนให้คนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นคนเสพสื่อออนไลน์ในยุคนี้จึงต้องใช้วิจารณญาณขั้นสูงก่อนแชร์ข้อมูลออกไป เพราะข่าวสารแต่ละเนื้อหาบนโลกอินเทอร์เน็ตเชื่อถือได้ยากมากขึ้น แม้จะมีทั้งให้ข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แต่ก็ยังมีอีกหลายเนื้อหาที่แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมในการปล่อยข่าวเพื่อโจมตีทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้ร้ายบุคคลอื่นจนอาจทำให้เราหลงเชื่อไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นผู้ใช้บริการควรตรวจสอบข้อมูลจากสื่อหลายๆแหล่งหรือตรวจสอบที่มาของข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะหลงเชื่อ รวมทั้งไม่ส่งต่อหรือเผยแพร่ข้อมูลในทันทีจนกว่าจะมีการยืนยันจากแหล่งที่น่าเชื่อถือว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแชร์โดยไม่ได้ตรวจสอบ ซึ่งนอกจากจะเป็นผลเสียให้เรารับรู้ข้อมูลแบบผิดๆแล้วยังจะเป็นการส่งต่อข้อมูลผิดๆเหล่านั้นไปให้ผู้อื่นหลายคน และที่สำคัญก็คือทำให้เรากลายเป็นผู้ทำผิดตามกฎหมายไปอีกด้วย

Source : http://telecomjournalthailand.com/

คิดค่าโทรเป็นวินาที

คิดค่าโทรเป็นวินาที

ณกฤช เศวตนันทน์ นบ. (เกียรตินิยม) นบท. นม.
Nakrit Sawettanan ACIArb
ที่ปรึกษา www.lawyer-thailand.com

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้หลายท่านอาจจะได้ทราบข่าวที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีมติเห็นชอบให้มีการแก้กฎหมายเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการคิดราคาค่าใช้บริการโทรศัพท์มือถือ จากฐานจากการคิดบริการปัดเศษเป็นนาที เป็นการคิดตามจริงเป็นวินาทีและเตรียมส่งเรื่องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบในหลักการดังกล่าวด้วยแล้ว ส่วนทางด้านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะผู้กำกับดูแลผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ได้เรียกหารือกับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 รายได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการคิดค่าโทรศัพท์ปัดเศษวินาทีเป็นนาทีซึ่งผู้ประกอบการได้ปฏิบัติแนวทางนี้มาโดยตลอด โดยได้ข้อสรุปว่า ให้ผู้ประกอบการต้องออกโปรโมชั่นการคิดค่าโทรศัพท์เป็นวินาทีให้ประชาชนเลือกเปลี่ยนแพกเกจได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2558

หลังจากที่เรื่องดังกล่าวมีการกล่าวอ้างและหยิบยกขึ้นมาว่าประชาชนทั่วไปที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งในระบบเติมเงินรายเดือนนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์แบบกินเปล่าไปฟรีๆถึง เดือนละ 3,591 ล้านบาท หรือ ปีละ 43,092 ล้านบาท และจากการสำรวจการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ค่าบริการในระบบเติมเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 341 บาทต่อเดือน ส่วนระบบรายเดือนอยู่ที่ 716 บาท ถ้าเฉลี่ยทั้งสองระบบมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 415 บาทต่อเดือน โดยค่าโทรระบบเติมเงินอยู่ที่ 1.20 บาทต่อนาที ระบบรายเดือนอยู่ที่ 1.70 บาทต่อนาที เฉลี่ยทั้งสองระบบค่าโทรอยู่ที่ 1.30 บาท ทำให้รายได้ของผู้ให้บริการมือถือ 3 ราย ได้แก่ ทรู มีรายได้รวมปี 56 อยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท ดีแทคมีรายได้ 9.4 หมื่นล้านบาท และเอไอเอสมีรายได้ 1.4 แสนล้านบาท ต่อมาทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภคจึงได้จัดทำรายงานนำเสนอหลักการกำหนดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานจริงเป็นวินาทีให้กับ สปช. พิจารณาเพื่อแก้ไขการคิดค่าบริการโทรศัพท์เกินจริงดังกล่าว

ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาการคิดค่าบริการของต่างประเทศเช่น การคิดค่าบริการมือถือของสหภาพยุโรป (EU) มีข้อกำหนดเรื่องการคิดค่าบริการข้ามแดนอัตโนมัติ (Roaming) โดยคิดค่าโทรขั้นต่ำที่ 30 วินาทีแรก จากนั้นตั้งแต่วินาทีที่ 31 เป็นต้นไปให้คิดค่าโทรตามระยะเวลาการใช้งานจริงเป็นวินาทีทั้งหมด แต่ในทางกลับกันพบว่าประเทศไทยมีการคิดค่าบริการเป็นนาที โดยมีหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนในปัจจุบัน 100 ล้านเลขหมาย ซึ่งจะได้รับผลกระทบทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่จะใช้บริการเกิน 1 นาที และมีเศษวินาที โอกาสที่โทรลงตัวครบ 1 นาทีคิดเป็น 1 ใน 60 เท่านั้น และมีถึง 99% ที่โทรเป็นวินาทีที่ถูกปรับเศษเป็นนาทีทั้งหมด จึงประเมินว่าทุกวันจะมีการใช้งานที่ถูกปรับเศษวินาทีเป็นนาที เกิน 100 ล้านนาที รวมต่อเดือนกว่า 3,000 ล้านนาที ทำให้ผู้ประกอบการมือถือได้รับรายได้ส่วนเกินมากกว่า 4,500 ล้านบาทต่อเดือน คิดเป็นปีมากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท

แนวคิดดังกล่าวส่งผลมีข้อสนอให้ทาง กสทช. ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 โดยอาศัยมาตรา 31 วรรคสอง ให้ออกคำสั่งห้ามผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการโดยปัดเศษวินาทีขึ้นเป็นหนึ่งนาที เนื่องจากเป็นการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคและเร่งออกประกาศหรือหลักเกณฑ์ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคที่อาศัยการใช้งานเครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควรหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ พร้อมใช้อำนาจตามกฎหมาย กสทช. พ.ศ.2553 มาตรา 27 (9) ออกหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการตามระยะเวลาที่ใช้งานจริงเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษเป็นนาทีเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภค

ยังมีผู้ที่เสนอต่อไปอีกว่านโยบายดังกล่าวไม่ควรแต่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนโปรโมชั่นชั่วคราวเท่านั้น แต่จะต้องเปลี่ยนระบบอย่างถาวรโดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาค่าบริการซึ่งจะต้องมีการปรับระบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบบิลลิ่ง (Billing System) ใหม่ซึ่งคาดว่าสามารถทำได้ภายใน 2-3 เดือน อีกทั้งต้องดูกระแสการตอบรับของประชาชนว่ามีผู้สนใจเปลี่ยนแพกเกจมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้มีการตั้งองค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมากำกับดูแลในอนาคต เพราะถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค อีกทั้งการดำเนินการด้านกิจการโทรคมนาคมใดๆ จะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ซึ่งในเบื้องต้นหากมีการเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ได้จริงจะช่วยประหยัดค่าโทรได้วันละ 1 นาที คิดเป็น 1.33 บาท ใน 1 เดือน ประหยัดได้ 40 บาทต่อคน เมื่อประเทศไทยมีหมายเลขโทรศัพท์ 94 ล้านเลขหมาย จะประหยัดเงินได้เดือนละ 3,591 ล้านบาท หรือปีละ 43,092 ล้านบาทเลยทีเดียว แต่สิ่งที่สำคัญในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเรื่องค่าบริการโทรศัพท์ครั้งใหญ่นี้คือการได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่าย ซึ่งหากร่วมมือก็สามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการใดๆ แต่ถ้าหากทางผู้ประกอบการไม่ให้ความร่วมมือในการปรับโครงสร้างดังกล่าว ก็อาจจำเป็นที่จะต้องออกกฎเป็นคำสั่งทางปกครอง ภายใต้การออกประกาศของ กสทช. ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน จึงจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการได้ แต่โดยหลักถ้าทุกโอปอเรเตอร์ปรับมาตรฐานการให้บริการ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายมาบังคับแต่อย่างใด

เมื่อเรามาพิจารณาในหลายๆประเทศแล้วจะเห็นได้ว่ามีระบบการคิดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่จะคิดค่าโทรเป็นนาที แต่ในหลายประเทศก็คิดค่าโทรตามจริงเป็นวินาที เช่นในประเทศไต้หวันจะมีการเก็บค่าบริการโทรในประเทศคิดเป็นนาที แต่ค่าบริการเซลลูล่าร์อาจคิดเป็นนาทีหรือวินาที ขึ้นอยู่กับโอปอเรเตอร์และแพกเกจ ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นคิดค่าโทรในประเทศแบบเหมาจ่ายรายเดือน (Flat-Rate) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการคิดค่าโทรในแต่ละครั้ง หากมองอีกด้านในแง่ของการเปลี่ยนโครงสร้างระบบการจัดเก็บค่าบริการดังกล่าว การใช้โรมมิ่งในต่างประเทศนั้นอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้เพราะต่างประเทศส่วนใหญ่ จัดเก็บค่าบริการโทรศัพท์เป็นแบบนาที เมื่อคนไทยเดินทางอออกไปนอกประเทศและใช้ระบบโรมมิ่ง จะเกิดความยุ่งยากซับซ้อนในการเก็บค่าบริการ อันเป็นปัญหาที่จะต้องช่วยกันหาทางแก้กันต่อไปหากมีการปรับเปลี่ยนระบบอย่างเต็มรูปแบบ

Source : http://telecomjournalthailand.com/